รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ลืมกุญแจตู้นิรภัยไว้ในโต๊ะทำงาน

ในการปฏิบัติหน้าที่โดยปกติทุกคนจะต้องมีความระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายขึ้น ซึ่งหากมีความเสียหายเกิดขึ้นย่อมเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็คือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลนั่นเอง เพียงแต่ว่าจะเป็นการจงใจหรือเป็นการประมาทเลินเล่อเท่านั้น และหากความเสียหายเพียงเล็กน้อยไม่ถึงกับร้ายแรงก็คงถูกว่ากล่าวตักเตือนหรือลงโทษในสถานเบา หากความเสียหายเป็นจำนวนมาก็คงต้องรับโทษหนักขึ้น ดังตัวอย่างที่นำมาให้ดูกันในฉบับนี้

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2519 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงาน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 33,810 บาท กำหนดจ่ายทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2541 จำเลยมีคำสั่งที่ 51433/2541 ไล่โจทก์ออกจากงานฐานกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เนื่องจากประมาทเลินเล่อในหน้าที่การงาน หรือปฏิบัติหน้าที่การงานโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ เป็นเหตุให้เสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรง ทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ความจริงโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดตามที่จำเลยกล่าวหา โจทก์ไม่มั่นใจว่าจะหางานใหม่ได้ โจทก์มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว โจทก์ประสงค์จะกลับเข้าทำงานกับจำเลย หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายฐานเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 51433/2541 ของจำเลย ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานต่อไป หากไม่สามารถรับโจทก์เข้าทำงานได้ ให้จ่ายค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 215 ต่อปี ฃนับแต่วันเลิกจ้าง ค่าเสียหายกรณีเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและผลประโยชน์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์เคยเป็นพนักงานของจำเลย ตำแหน่งนายไปรษณีย์ระดับ 6 สังกัดสำนักงานการสื่อสารไปรษณีย์นครหลวงเหนือ ขณะที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ที่ทำการไปรษณีย์วังเทวะเวสม์ ได้ทำการโดยประมาทเลินเล่อหรือจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามข้อ 55 ข้อ 56 และข้อ 62 แห่งข้อบังคับการสื่อสารแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3 ว่าด้วยระเบียบวินัย ฯ พ.ศ. 2520 กล่าวคือ เมื่อต้นปี 2539 โจทก์ได้รับมอบหมายจากนาย ป. หัวหน้าที่ทำการไปรษณีย์วังเทวะเวสม์ ให้ปฏิบัติหน้าที่พนักงานเงิน เป็นคณะกรรมการปิดเปิดตู้นิรภัยเก็บรักษาเงินสดและเอกสารแทนตัวเงินของที่ทำการฯ โดยนาย ป. ถือลูกกุญแจตู้นิรภัยดอกที่ 1 โจทก์ถือลูกกุญแจดอกที่ 2 นาย ส. ถือกุญแจดอกที่ 3 ต่อมานาย ส. ต้องเข้ารับการฝึกอบรม จึงได้แต่งตั้งนาย ด.ถือกุญแจดอกที่ 3 แทน แต่นาย ด. มีเหตุขัดข้อง โจทก์จึงต้องถือลูกกุญแจดอกที่ 3 แทนนาย ด. ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2539 โจทก์จึงได้ถือลูกกุญแจดอกที่ 2 และดอกที่ 3 ไว้เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2539 เวลา 16.30 นาฬิกา นาย ป.และโจทก์ร่วมกันตรวจนับเงินสดและเอกสารแทนตัวเงินของที่ทำการครบถ้วน นาย ป. ได้มอบกุญแจดอกที่ 1พร้อมเงินสดและเอกสารแทนตัวเงินให้โจทก์นำไปเก็บเข้าตู้นิรภัย ซึ่งอยู่ที่ชั้นสองของที่ทำการเพียงลำพัง เสร็จแล้วโจทก์คืนลูกกุญแจดอกที่ 1 ให้นาย ป. รุ่งขึ้นวันที่ 20 มีนาคม 2539 เวลา 8 นาฬิกาเศษ นาย ป. มอบลูกกุญแจดอกที่ 1 ให้โจทก์ไปเปิดตู้นิรภัย ปรากฏว่า เงินสดที่มัดไว้เป็นปึก ปึกละ 100 ฉบับ สูญหายไปรวมเป็นเงิน 679,000 บาท คงเหลือธนบัตรที่เป็นเศษและเหรียญ 39,000 บาทเศษ และทรัพย์สินอื่นอยู่โดยไม่มีร่องรอยงัดแงะที่ตู้นิรภัยและประตูห้องมั่นคง จำเลยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง ผลการสอบสวนเห็นว่า โจทก์มีความผิด จำเลยจึงมีคำสั่งไล่ออก จำเลยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนระเบียบข้อบังคับโดยชอบ เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิได้ค่าชดเชย หรือขอกลับเข้าทำงานหรือเรียกค่าเสียหายกรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม สำหรับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนที่เป็นเงินสมทบนั้น พนักงานที่ออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุหรือลาออกโดยไม่มีความผิดร้ายแรงมีสิทธิได้รับ แต่โจทก์ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงถึงขั้นไล่ออกจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์อันเกิดจากเงินสมทบ คงมีสิทธิได้รับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมซึ่งจำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นนายไปรษณีย์ระดับ 6 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 33,810 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยมีคำสั่งที่ 51433/2541 เลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2541 เนื่องจากขณะที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ที่ที่ทำการไปรษณีย์วังเทวะเวสม์ เมื่อต้นปี 2539 โจทก์ได้รับมอบหมายจากนาย ป. หัวหน้าที่ทำการไปรษณีย์วังเทวะเวสม์ ให้ปฏิบัติหน้าที่พนักงานเงิน เป็นคณะกรรมการเก็บรักษาเงิน มีหน้าที่ปิดเปิดตู้นิรภัยเก็บรักษาเงินสดและเอกสารแทนตัวเงินของที่ทำการไปรษณีย์วังเทวะเวสม์ กรรมการมี 3 คน คือ นาย ป. ถือลูกกุญแจตู้นิรภัยดอกที่ 1 โจทก์ถือลูกกุญแจตู้นิรภัยดอกที่ 2 นาย ส. ถือกุญแจตู้นิรภัยดอกที่ 3 ตามระเบียบการนำเงินเข้าหรือออกจากตู้นิรภัยจะต้องปฏิบัติหน้าที่พร้อมกัน 3 คน นอกจากถือกุญแจคนละดอกแล้ว ทุกคนยังมีตราประจำตัวไว้สำหรับประทับบนดินน้ำมันที่ปิดทับปลายเชือกที่คาดรอบตู้นิรภัยแล้วคล้องลอดรูที่ป้ายไม้สี่เหลี่ยม เนื่องจากนาย ส. กรรมการรักษาเงินคนที่ 3 ต้องเข้ารับการอบรม นาย ป. หัวหน้าที่ทำการจึงแต่งตั้งนาย ด. เป็นพนักงานรักษาเงินคนที่ 3 แทน ตามคำสั่งลงวันที่ 13 มีนาคม 2539 แต่นาย ด.ไม่ยอมรับมอบลูกกุญแจโดยอ้างว่าเป็นกรรมการรักษาเงินตู้นิรภัยเล็กอยู่แล้ว ทั้งเข้าทำงานไม่พร้อมกันกับนาย ป. และโจทก์ นาย ป. ก็ไม่ได้แต่งตั้งกรรมการรักษาเงินคนที่ 3 ใหม่ โจทก์จึงต้องถือลูกกุญแจดอกที่ 2 และดอกที่ 3 พร้อมกัน 2 ดอก ซึ่งเป็นเรื่องผิดระเบียบ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2539 เวลา 16 นาฬิกาเศษ นาย ป. และโจทก์ร่วมกันตรวจนับเงินสดและเอกสารแทนตัวเงินของที่ทำการไปรษณีย์วังเทวะเวสม์ครบถ้วน นาย ป. ได้มอบลูกกุญแจดอกที่ 1 ให้แก่โจทก์ ให้โจทก์นำเงินสดและเอกสารแทนตัวเงินขึ้นไปเก็บที่ตู้นิรภัยซึ่งอยู่ที่ชั้นสองของที่ทำการ โจทก์จึงเป็นผู้ถือลูกกุญแจตู้นิรภัยทั้งสามดอกไปเปิดตู้นิรภัยและนำเงินเข้าเก็บโดยลำพังคนเดียว เสร็จแล้วโจทก์คืนลูกกุญแจดอกที่ 1 ให้แก่นาย ป. รุ่งขึ้นวันที่ 20 มีนาคม 2539 เวลา 8 นาฬิกาเศษ โจทก์ไปรับมอบลูกกุญแจดอกที่ 1 จากนาย ป. และใช้ลูกกุญแจอีก 2 ดอก ที่ตนถืออยู่ไปเปิดตู้นิรภัยที่ห้องมั่นคงชั้นสองของที่ทำการ ปรากฏว่าเงินสดที่มัดไว้เป็นปึกรวมเป็นเงิน 679,000 บาท สูญหายไปคงเหลือเศษเงิน 39,000 บาท เศษ ตรวจสอบแล้วประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยไม่มีร่องรอยถูกงัดแงะ จำเลยได้มอบอำนาจให้ไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม พนักงานสอบสวนได้ไปตรวจหาร่องรอย ในที่สุดหาตัวผู้กระทำผิดทางอาญาไม่ได้ หลังเกิดเหตุจำเลยให้นาย อ. ช่างกุญแจไปตรวจสอบตู้นิรภัย เมื่อเปิดออกมาพบลูกกุญแจหักค้างอยู่ในแม่กุญแจช่องที่ 2 ลูกกุญแจที่หักค้างอยู่ปรากฏว่าเป็นลูกกุญแจสำหรับตู้นิรภัยเล็ก (ไม่ใช่ตู้นิรภัยที่เกิดเหตุ) ที่นาย ด. เป็นผู้ถือและตกหายก่อนเกิดเหตุ จำเลยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง คณะกรรมการที่ปรึกษาทางวินัยมีความเห็นว่า โจทก์มีความผิดจริง ควรลงโทษไล่ออก คณะกรรมการบริหารงานบุคคลมีความเห็นไล่โจทก์ออกจากงาน หลังจากเกิดเหตุแล้ว ช่างทำกุญแจตรวจพบว่าลูกกุญแจตู้นิรภัยดอกที่ 3 ที่โจทก์เป็นผู้ถือแทนนาย ด. สามารถไขแทนดอกที่ 1 ที่นาย ป. ถืออยู่ และเหตุที่เงินจำนวนดังกล่าวสูญหายเป็นเพราะโจทก์หลงลืมกุญแจดอกที่ 2 และดอกที่ 3 ไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน ทำให้บุคคลอื่นลักลอบเอาลูกกุญแจทั้งสองดอกไปใช้ไขตู้นิรภัย แล้วลักเอาเงินไปได้

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยในกรณีร้ายแรง และประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือไม่ โจทก์มีสิทธิรับค่าชดเชยจากจำเลยหรือไม่ และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ จำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า เมื่อนาย ป. หัวหน้าที่ทำการไปรษณีย์วังเทวะเวสม์ได้แต่งตั้งนาย ด. เป็นพนักงานรักษาเงินคนที่ 3 แต่นาย ด. ไม่ยอมรับมอบลูกกุญแจ นาย ป.ควรจะแต่งตั้งคนอื่นแทน แต่กลับให้โจทก์เป็นผู้ถือลูกกุญแจดอกที่ 3 แทน ทำให้โจทก์ถือลูกกุญแจ 2 ดอกพร้อมกัน นอกจากนี้นาย ป. ยังมอบลูกกุญแจดอกที่ 1 ให้โจทก์ไปเปิดปิดนำเงินเข้าออกตู้นิรภัยโดยลำพังคนเดียว โจทก์จึงได้ถือลูกกุญแจตู้นิรภัยครบทั้งสามดอก และเมื่อปรากฏว่าโจทก์หลงลืมลูกกุญแจดังกล่าวไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน เป็นเหตุให้บุคคลอื่นลักลอบเอาลูกกุญแจไปใช้ไขเปิดตู้นิรภัย แล้วลักเอาเงินไปจำนวน 679,000 บาท โดยไม่พบร่องรอยการงัดแงะตู้นิรภัยและประตูห้องมั่นคง การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นความประมาทเลินเล่อในหน้าที่การงานซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยและฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลย อันเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายจำนวนมาก ถือว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยในกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 46(3) และเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร ส่วนกรณีที่จำเลยลงโทษนาย ป. เพียงลดขั้นเงินเดือนก็เนื่องจากมีเหตุลดหย่อนโทษ แตกต่างจากกรณีของโจทก์ การเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5603/2546)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น