ในการทำงาน ลูกจ้างจะต้องใช้ความระมัดระวังมิให้งานที่ทำได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่เกี่ยวกับของมีค่า หากลูกจ้างทำผิดพลาดเกิดความเสียหายขึ้น ลูกจ้างเองก็จะได้รับความเดือดร้อน บางครั้งต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจ้างอีกต่างหาก ซึ่งลำพังรายได้ที่ได้รับอาจจะไม่เพียงพอ และอาจถูกเลิกจ้างอีกด้วย
อย่างไรก็ดีหากเป็นการทำงานตามหน้าที่โดยปกติ แล้วเกิดความเสียหายขึ้นโดยที่ลูกจ้างไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ก็มักจะไม่มีปัญหา อีกทั้งในการปฏิบัติหน้าที่นายจ้างก็ต้องมีมาตรการในการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอยู่แล้ว ความผิดพลาดในการทำงานบางครั้งก็เป็นเรื่องปกติที่นายจ้างไม่ได้ใส่ใจนัก
มีคดีเรื่องหนึ่งที่พิพาทกันเกี่ยวกับการทำงานที่เกิดความผิดพลาดขึ้นและนายจ้างได้ขออนุญาตต่อศาลแรงงานเพื่อลงโทษลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง และลูกจ้างได้คัดค้านการขออนุญาตดังกล่าว ผลเป็นอย่างไรลองติดตามดูคดีข้างล่างนี้
นายจ้างได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2545 เวลา 17.40 นาฬิกา นายว. ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างได้ลืมเพชรจำนวน 1 เม็ด ที่เครื่องตัดเพชรที่อยู่ในความรับผิดชอบ ซึ่งนาย ว. ยอมรับว่าเป็นความจริง การกระทำดังกล่าวของนาย ว. ผู้ร้องถือว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง และประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 ขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษนาย ว. กรรมการลูกจ้างโดยการตักเตือนเป็นหนังสือและให้พักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างเป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นลูกจ้างของผู้ร้องมา 13 ปี ปัจจุบันอยู่แผนกตัดเพชรและมีฐานะเป็นกรรมการลูกจ้าง กรรมการในคณะกรรมการความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ผู้คัดค้านยอมรับว่าได้ลืมเพชรจริงตามคำร้อง แต่เกิดขึ้นโดยเหตุสุดวิสัยกล่าวคือ ผู้คัดค้านมีเวลาหลังเลิกงาน 15 นาที ในการตรวจนับและแยกเพชรจำนวน 300 เม็ด ซึ่งมีจำนวนมากและเพชรดังกล่าวมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 มิลลิเมตร เท่านั้น และตามวันเวลาเกิดเหตุผู้คัดค้านได้โต้เถียงกับตัวแทนผู้ร้องที่ต้องการให้ผู้คัดค้านทำความสะอาดเครื่องตัดเพชร ซึ่งผู้คัดค้านเห็นว่าไม่ถูกต้องเพราะการทำความสะอาดเครื่องตัดเพชรเป็นหน้าที่ของช่าง ทำให้เสียเวลาประมาณ 5 นาที ทำให้ผู้คัดค้านต้องนับเพชรให้รวดเร็วมากขึ้น และเป็นสาเหตุให้ลืมเพชรที่เครื่องตัดเพชร 1 เม็ด นอกจากนี้ตามข้อบังคับของผู้ร้องมิได้ระบุโดยชัดแจ้งถึงเรื่องการลืมเพชรไว้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขอให้ลงโทษผู้คัดค้าน นอกจากนี้ธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัทผู้ร้องในกรณีการลืมเพชรครั้งแรกนั้น ในกรณีพนักงานคนอื่นผู้ร้องจะเตือนด้วยวาจาเท่านั้น อย่างไรก็ตามบริษัทผู้ร้องก็ไม่มีความเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น หากพนักงานทำให้เพชรสูญหายไม่ว่าด้วยกรณีใด ๆ จะต้องชดใช้ความเสียหายเท่าราคาจริงอยู่แล้ว ด้วยเหตุดังกล่าวจึงขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ในระหว่างการพิจารณาผู้ร้องแถลงไม่ติดใจที่จะเรียกร้องในส่วนที่ขอให้พักงานผู้คัดค้านโดยไม่ได้รับค่าจ้างเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางว่า ผู้คัดค้านเป็นลูกจ้างของผู้ร้องตำแหน่งพนักงานตัดเพชรและเป็นกรรมการลูกจ้างของผู้ร้อง เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2545 เวลา 17.40 นาฬิกา ผู้คัดค้านได้ลืมเพชรของ ผู้ร้องไว้ที่เครื่องตัดเพชร จำนวน 1 เม็ด ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง ข้อ 9.1 , 9.2, 9.7, 9.8 และ 9.9
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า แม้ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง ข้อ 10.7 จะระบุว่า “เมื่อเพชรหาย ต้องแจ้งซุปเปอร์ไวเซอร์ทันทีและต้องทำการค้นหาเพชรทันทีจนกว่าจะพบหรือจนกว่าซุปเปอร์ไวเซอร์มีคำสั่งให้หยุดค้นหา พนักงานต้องรับผิดชอบต่อเพชรที่ตนเองรับมา ถ้าหากมีการสูญหาย บริษัทอาจหักค่าเสียหายจากเงินเดือนพนักงาน” ก็ตาม แต่ข้อ 9 ในเรื่องวินัยและโทษทางวินัยก็ได้ระบุไว้ว่า พนักงานผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามวินัยของผู้ร้องในข้อ 9.1 ถึง 9.15 จะถูกพิจารณาลงโทษโดยการตักเตือนเป็นหนังสือ ตัดค่าจ้าง ลดค่าจ้าง ให้พักงาน หรือให้ออกจากงานตามที่เห็นสมควร การที่ผู้คัดค้านหลงลืมเพชรจำนวน 1 เม็ด ไว้ที่เครื่องตัดเพชรเป็นการประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องข้อ 9.1 และ 9.7 และแม้ว่าผู้คัดค้านจะหลงลืมเพชรเป็นครั้งแรกก็ตาม ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะลงโทษผู้คัดค้านตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องได้ การที่ผู้ร้องจะลงโทษผู้คัดค้านด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือนั้นก็เป็นการลงโทษในขั้นต่ำที่สุดที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง และเป็นการลงโทษที่เหมาะสมแก่ความผิดของผู้คัดค้านแล้ว ที่ศาลแรงงานกลางไม่อนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9172/2546)
หลายคนอาจจะสงสัย ????? …….ทำไมแค่จะลงโทษตักเตือนลูกจ้าง นายจ้างต้องร้องขอต่อศาลด้วยหรือ ? คำตอบก็คือ ลูกจ้างในคดีนี้เป็นกรรมการลูกจ้าง ซึ่งตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 บัญญัติให้ความคุ้มครองกรรมการลูกจ้างไว้ โดยหากนายจ้างจะลงโทษลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างไม่ว่าจะเป็นโทษเบาหรือโทษหนัก ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน เป็นกรณีพิเศษ คดีนี้มีประเด็นที่น่าสนใจว่า นายจ้างจะลงโทษลูกจ้างได้ใช้เวลานานเป็นปีทีเดียว!!! จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com