เรื่องระยะเวลาในการยื่นขอรับสิทธิเป็นเรื่องที่สำคัญมากลองศึกษาดูเรื่องข้างล่างนี้เป็นแนวทางนะครับ
โจทก์สี่รายฟ้องเป็นใจความเดียวกันว่า จำเลยเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2537 โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างขององค์การค้าของคุรุสภาและเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 ได้มีประกาศองค์การค้าของคุรุสภาที่ 1/2543-2544 เรื่อง การนำเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม กรณีคลอดบุตรและตาย แจ้งให้ลูกจ้างทุกคนรวมทั้งโจทก์ทั้งสี่ทราบว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้องค์การค้าของคุรุสภานำเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่มกรณีคลอดบุตร ในอัตราร้อยละ 0.06 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2538 เป็นต้นไป องค์การค้าของคุรุสภาได้นำเงินสมทบส่วนของนายจ้างและลูกจ้างกรณีคลอดบุตรและตายย้อนหลังตั้งแต่เดือนเมษายน 2538 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2543 ไปเรียบร้อยแล้ว องค์การค้าของคุรุสภาจะเริ่มหักเงินสมทบเพิ่มจากลูกจ้างเดิมที่หักไว้ร้อยละ 2.44 เป็นร้อยละ 2.62 ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 เป็นต้นไป ลูกจ้างผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตร ต้องจ่ายเงินสมทบในกรณีคลอดบุตรมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 เดือนภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนคลอดบุตร โจทก์ที่ 1 คลอดบุตรเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2543 ขณะนั้นได้ค่าจ้างอัตราเดือนละ 5,450 บาท โจทก์ที่ 2 คลอดบุตรเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2540 ขณะนั้นได้ค่าจ้างอัตราเดือนละ 9,600 บาท โจทก์ที่ 3 คลอดบุตรเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2540 ขณะนั้นได้ค่าจ้างอัตราเดือนละ 8,730 บาท โจทก์ที่ 4 คลอดบุตรเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 ขณะนั้นได้ค่าจ้างอัตราเดือนละ 8,100 บาท โจทก์ที่ 1 ได้ยื่นแบบขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรต่อจำเลยเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2544 ส่วนโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 ได้ยื่นแบบเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2544 จำเลยปฏิเสธการจ่ายประโยชน์ทดแทนให้โจทก์โดยอ้างว่ายื่นเกิน 1 ปี นับแต่วันมีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทน ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 56 โจทก์ทั้งสี่ไม่เห็นด้วยได้อุทธรณ์คำสั่ง คณะกรรมการอุทธรณ์ได้มีมติยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่
โจทก์ทั้งสี่เห็นว่าคำสั่งและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบ เมื่อโจทก์ได้จ่ายเงินสมทบย้อนหลังตั้งแต่งวดเดือนเมษายน 2538 ถึงงวดเดือนมิถุนายน 2543 ตามคำพิพากษาศาลฎีกาและนายจ้างได้นำส่งแล้วเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2543 สิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนต้องเริ่มนับแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2543 โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิได้ค่าคลอดบุตร 4,000 บาท และเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรร้อยละ 50 ของค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบเป็นเวลา 90 วัน พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี บทบัญญัติที่กำหนดเวลาเพื่อขอใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 56 วรรคหนึ่ง และมาตรา 65 วรรคหนึ่ง ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 4, 26, 29, 30 ใช้บังคับมิได้ตามมาตรา 6 โจทก์ทั้งสี่ขอใช้สิทธิโต้แย้งไว้ตามมาตรา 264 ขอให้เพิกถอนและเปลี่ยนแปลงคำสั่งและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลย ให้จำเลยจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรจำนวน 4,000 บาท และเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรร้อยละ 50 ของค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบที่นายจ้างนำส่งเป็นเวลา 90 วัน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ทราบถึงสิทธิประโยชน์ตั้งแต่วันที่โจทก์ทั้งสี่เข้าทำงานแล้ว ระยะเวลา 1 ปีตามมาตรา 56 ที่กำหนดนั้นต้องนับแต่วันที่มีสิทธิมิใช่นับแต่วันที่โจทก์ทั้งสี่รู้หรือควรรู้ โจทก์ทั้งสี่ได้ใช้สิทธิเบิกเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรจากองค์การค้าของคุรุสภาแล้ว มาขอรับประโยชน์ทดแทนซ้ำอีกเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต บทบัญญัติที่กำหนดระยะเวลาในมาตรา 56 วรรคหนึ่งและมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ ที่ 797 ถึง 800/2544 ลงวันที่ 6 กันยายน 2544 ของจำเลย ให้จำเลยจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรโดยจ่ายค่าคลอดบุตร 4,000 บาท และเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรร้อยละห้าสิบของค่าจ้างที่โจทก์ทั้งสี่ใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณเงินสมทบที่นายจ้างนำส่งเป็นเวลา 90 วัน พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของค่าคลอดบุตรและเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (12 พฤศจิกายน 2544) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คำสั่งของจำเลยที่ว่า โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงไม่มีสิทธิได้สิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างขององค์การค้าของคุรุสภาและเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 องค์การค้าของคุรุสภาซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งสี่ได้หักค่าจ้างและส่งเงินสงเคราะห์เข้ากองทุนประกันสังคมแก่จำเลย ยกเว้นกรณีคลอดบุตรและตาย โดยองค์การค้าของคุรุสภาขอลดอัตราเงินสมทบทั้งสองกรณีดังกล่าวตามมาตรา 55 แต่จำเลยไม่ยอมให้ลดส่วนอัตราเงินสมทบตามขอ องค์การค้าของคุรุสภาได้นำคดีไปสู่ศาล ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าองค์การค้าของคุรุสภาไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยภายในกำหนดเวลา และศาลฎีกาเห็นด้วยในผลที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่า ไม่มีเหตุที่องค์การค้าของคุรุสภาจะขอลดส่วนอัตราเงินสมทบกรณีคลอดบุตรและตาย เนื่องจากองค์การค้าของคุรุสภามิได้จัดสวัสดิการให้แก่พนักงานอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ใช้บังคับ องค์การค้าของคุรุสภาจึงได้มีประกาศที่ 1/2533-2544 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 แจ้งให้ลูกจ้างทุกคนรวมทั้งโจทก์ทั้งสี่ทราบว่า ศาลฎีกาได้พิพากษาให้องค์การค้าของคุรุสภานำเงินมาสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่มกรณีคลอดบุตรและตายตั้งแต่เดือนเมษายน 2538 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2543 โดยนำส่งเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2543 เรียบร้อยแล้ว โจทก์ที่ 1 คลอดบุตรเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2543 โจทก์ที่ 2 คลอดบุตรเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2540 โจทก์ที่ 3 คลอดบุตรเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2540 โจทก์ที่ 4 คลอดบุตรเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 โจทก์ที่ 1 ได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรต่อจำเลยเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2544 ส่วนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรต่อจำเลยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2544 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สิทธิในการขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรจะเกิดมีขึ้นเมื่อใดนั้นจะต้องพิจารณาจากวันคลอดบุตรของผู้ประกันตน ประกอบกับผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้วหรือไม่ คดีนี้แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรต่อจำเลยภายใน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์คลอดบุตรก็ตาม แต่พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 56 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บัญญัติตัดสิทธิผู้ยื่นคำขอไว้โดยเด็ดขาด กรณีที่ผู้ยื่นคำขอเกินกำหนดระยะเวลา 1 ปี อันจะทำให้ผู้ยื่นคำขอต้องเสียสิทธินั้น ต้องเป็นกรณีที่ผู้ยื่นคำขอไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือความจำเป็นที่ต้องใช้สิทธิล่าช้า หากผู้ยื่นคำขอมีเหตุผลอันสมควรหรือจำเป็นต้องใช้สิทธิล่าช้าก็จะนำระยะเวลาดังกล่าวมาตัดสิทธิผู้ยื่นคำขอเสียทีเดียวหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงในคดีนี้เมื่อปรากฏว่า ภายในระยะเวลา 1 ปี ดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสี่ยังไม่อาจใช้สิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรจากจำเลยได้ เนื่องจากมีกรณีพิพาทเกี่ยวกับการส่งเงินสมทบระหว่างองค์การค้าของคุรุสภาซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยว่า จะต้องส่งเงินสมทบกรณีคลอดบุตรและตายเพียงใด ต่อมาหลังจากศาลฎีกาพิพากษาแล้ว องค์การค้าของคุรุสภาเพิ่งส่งเงินสมทบย้อนหลังกรณีคลอดบุตรและตายนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2538 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2543 ให้แก่จำเลย เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2543 ฉะนั้น โจทก์ทั้งสี่จึงอยู่ในฐานะที่อาจใช้สิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรต่อจำเลยได้ นับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2543 เป็นต้นไป การขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรของโจทก์ทั้งสี่ต่อจำเลย ในกรณีนี้ถือว่าเป็นการยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 56 วรรคหนึ่ง แล้ว คำสั่งของจำเลยที่ว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสี่ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 56 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาฟ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน(ฎีกาที่ 861-864 / 2548)
น่าสังเกตว่า คำวินิจฉัยของศาลฎีกามีความแหลมคมมากและเป็นการให้ความยุติธรรมแก่คู่กรณียิ่งกว่าลายลักษณ์อักษร ซึ่งน่าจะถูกต้องแล้ว แม้จะมีความสุ่มเสี่ยงอยู่บ้างก็ตาม นับได้ว่าเป็นตัวอย่างในการใช้กฎหมายที่ดีเรื่องหนึ่ง ท่านเห็นด้วยหรือไม่ครับ ?
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น