รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"ลาออก" หรือ "เลิกจ้าง”

มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับกรณีที่ลูกจ้างมีความต้องการจะลาออกจากงาน แต่เรื่องรู้ถึงหูนายจ้าง ลูกจ้างจึงถูกเรียกไปสอบถามและลูกจ้างไม่ปฎิเสธ นายจ้างจึงพูดว่า “ให้ออกไปเลยวันนี้” ลูกจ้างจึงฟ้องนายจ้างต่อศาลแรงงานกลางว่านายจ้างเลิกจ้าง ขอให้ศาลบังคับจำเลยจ่ายค่าจ้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม นายจ้างต่อสู้ว่าไม่ได้เลิกจ้าง แต่ลูกจ้างขาดงานไปเอง ใครจะชนะลองติดตามดู

รายละเอียดของเรื่องดังกล่าวมีอยู่ว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2543 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด ได้ค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2545 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏสาเหตุอันมิใช่ความผิดของโจทก์ และไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์ทำงานมาเกินกว่า 1 ปีมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วันเป็นเงิน 30,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 15,667 บาท การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฎสาเหตุจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมทำให้โจทก์เสียหายโจทก์ไม่ประสงค์จะทำงานร่วมกับจำเลยต่อไป โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท อีกทั้งจำเลยยังค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ระหว่างวันที่ 1 – 14 มีนาคม 2544 เป็นเงิน 4,667 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 15,667 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จ่ายค่าจ้าง 4,667 บาท ค่าชดเชย 30,000 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ยกเว้นค่าเสียหายขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยมีนางสาว ส. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนในการดำเนินกิจการรวมทั้งการจ้างและเลิกจ้างพนักงานของจำเลย แต่เพียงผู้เดียว โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนโจทก์มีหน้าที่ประสานงานติดต่อเช่าสถานที่เพื่อแสดงและขายสินค้าของจำเลย รวมทั้งดูแลให้พนักงานขายและทำการขายสินค้าของจำเลย โจทก์ทำงานกับจำเลยตลอดมาจนกระทั่งวันที่ 14 มีนาคม 2544 พนักงานของจำเลยนำเรื่องที่โจทก์พูดคุยกับพนักงานขายว่าตนประสงค์จะลาออกจากงานสิ้นเดือนมีนาคม 2544 เพื่อจะไปเข้าร่วมทำงานกับบริษัทอื่น ซึ่งทำการค้าสินค้าประเภทเดียวกับจำเลย มาบอกเล่าให้นางสาว พ. ที่ปรึกษาด้านการตลาดของจำเลยฟัง นางสาว พ. จึงเรียกโจทก์ไปสอบถาม โจทก์นิ่งไม่ปฏิเสธ นางสาว พ. จึงต่อว่าโจทก์ว่าไม่สมควรกระทำการดังกล่าว และพูดประชดประชันให้โจทก์ลาออกโดยเร็ว โจทก์จึงออกจากบริษัทของจำเลยและไปร้องเรียนต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เจ้าหน้าที่ได้สอบถามมายังจำเลย จำเลยยืนยันว่าไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ แต่โจทก์ขาดงานหรือลาออกไปเอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 10,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 15,667 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับชำระค่าจ้างจำนวน 4,667 บาทและค่าชดเชยจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานฟังมายังไม่เพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่านางสาว พ. เป็นตัวแทนซึ่งมีอำนาจเลิกจ้างพนักงานแทนจำเลยหรือไม่ จึงให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติม

ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า จำเลยมีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าจำเลยมีการมอบอำนาจให้นางสาว พ. มีอำนาจเลิกจ้างพนักงานแทนจำเลย

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2543 ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด ค่าจ้างเดือนละ 10,000บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2544 นางสาว พ. ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของจำเลยเรียกโจทก์เข้าไปพูดว่า โจทก์จะออกจากงานสิ้นเดือนนี้ ให้ออกไปเลยวันนี้ โจทก์กลับไปและไม่มาทำงานอีก คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า นางสาว พ. มีอำนาจเลิกจ้างโจทก์หรือไม่ ศาลแรงงานกลางได้สืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานว่า จำเลยได้มอบอำนาจให้นางสาว พ. มีอำนาจเลิกจ้างพนักงานของจำเลยได้ ดังนั้น นางสาว พ. จึงมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อสองว่า คำพูดของนางสาว พ. ที่พูดกับโจทก์ว่า “ให้ออกไปเลยวันนี้” เมื่อพิจารณาประกอบหนังสือเลิกจ้างแล้วเป็นการเลิกจ้างโจทก์แล้วหรือไม่

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า คำพูดของนางสาว พ. ที่พูดกับโจทก์ว่า “ให้ออกไปเลยวันนี้” นั้นแสดงถึงเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ทำงานและไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ตลอดไป เมื่อพิเคราะห์ประกอบหนังสือเลิกจ้างที่ระบุว่า “เนื่องจากท่าน(โจทก์)มีการทำงานตั้งแต่วันที่ 1 – 14 มีนาคม 2544 บริษัท(จำเลย)จึงต้องจ่ายค่าจ้างให้ท่าน(โจทก์) ขอให้ท่าน(โจทก์)มารับเงินค่าจ้าง ณ ที่ทำการของบริษัท(จำเลย) ในเวลาทำงานปกติได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” ยิ่งฟังได้ชัดเจนขึ้นว่า จำเลยไม่ประสงค์ให้โจทก์ทำงานกับจำเลยต่อไป หลังจากวันที่ 14 มีนาคม 2544 จึงฟังได้ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2544

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อสุดท้ายว่า คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า นางสาว พ. ได้เลิกจ้างโจทก์ในฐานะตัวแทนของจำเลยนั้น เป็นการชี้ขาดตัดสินคดีนอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนหรือไม่ และคำวินิจฉัยดังกล่าวชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานให้ทำเป็นหนังสือและต้องกล่าวหรือแสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุป และคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีพร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยนั้น” คดีนี้ศาลแรงงานกลางได้รับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มตามคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานว่า จำเลยมีพฤติการณ์ว่าได้มอบอำนาจให้นางสาว พ. มีอำนาจเลิกจ้างพนักงานแทนจำเลยได้ การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า นางสาว พ. ได้เลิกจ้างโจทก์ในฐานะตัวแทนของจำเลยนั้น จึงเป็นการชี้ขาดตัดสินคดีนี้ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนซึ่งเป็นคำวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปในสำนวนตามประเด็นแห่งคดี พร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยนั้น จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 51 แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น(คำพิพากษาศาลฎีกาที่8679/2548)

นี่แหละครับ......หากใจเย็นกันสักนิดก็อาจไม่เกิดเรื่องถึงโรงถึงศาล และเสียเวลาและเงินกันมากขนาดนี้ เพียงแค่คำพูดว่า “ให้ออกไปเลยวันนี้” เท่านั้น หากพูดคุยกันอย่างปรองดองสมานฉันท์ ลูกจ้างก็ได้ออกในตอนสิ้นเดือนตามความประสงค์ และนายจ้างก็จ่ายค่าจ้างถึงตอนสิ้นเดือนหรือจะจ่ายค่าจ้างให้ถึงวันที่ลูกจ้างประสงค์จะลาออกเรื่องก็จบแค่นั้น......ฉะนั้นจึงฝากเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนข้างหลังต่อไปก็แล้วกัน

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น