รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"ลาออก" ไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชย

การที่ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด ต้องเป็นกรณีที่ลูกจ้างนั้นถูกเลิกจ้าง เท่านั้น หากว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าลูกจ้างถูกเลิกจ้าง ไม่ว่าโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ตาม หรือปรากฏว่าลูกจ้างได้ขอลาออกเอง ลูกจ้างนั้นก็จะไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ดังเช่นคดีข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่าลูกจ้างเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลย ที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 โดยนาย อ. ประธานกรรมการบริษัทได้จ้างโจทก์และนาย ม. เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 พร้อมกันในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์และรองผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ ตามลำดับ โดยตกลงให้โจทก์ทำงานวันละสองชั่วโมงอัตราเงินเดือน 30,000 บาท ให้โจทก์มีสิทธิพักร้อนได้ปีละหนึ่งเดือน กับให้มีอำนาจสิทธิขาดในการวางแผนและระบบงาน แก้ไขปรับปรุงกิจการของจำเลยที่ 1 ให้อยู่รอดและปรับปรุงกิจการของจำเลยที่ 1 ให้เจริญก้าวหน้า จำเลยที่ 1 จะจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ ซึ่งถือเป็นค่าจ้างอีกส่วนหนึ่งในอัตราร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ โจทก์เริ่มทำงานกับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2525 และบริหารโรงพยาบาลจำเลยที่ 1 อย่างมีประสิทธิภาพจนสามารถกอบกู้กิจการของจำเลยที่ 1 ได้เป็นผลสำเร็จ สรุปผลกำไรตั้งแต่ปี 2529 ถึง 2533 มีกำไรเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี รวมกำไรสุทธิทั้งสิ้น 37,172,114.12 บาท ในเดือนกันยายน 2533 โจทก์และนาย ม. รายงานความสำเร็จของผลการดำเนินงานดังกล่าวให้นาย อ. ทราบและได้ทวงบำเหน็จรางวัลอัตราร้อยละ 10 ตามข้อตกลงจากนาย อ. พร้อมแจ้งให้ทราบว่าโจทก์มีอายุครบ 55 ปี ในวันที่ 24 กันยายน 2533 ต้องเกษียณอายุตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 จึงขอรับค่าชดเชย แต่นาย อ. ได้ไปพบโจทก์และนาย ม. ขอร้องให้ช่วยปฏิบัติงานสองเรื่อง คือนำบริษัทจำเลยที่ 1 เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และขยายโรงพยาบาลจาก 105 เตียง เป็น 270 เตียง ทั้งนี้ นาย อ. ได้เสนอข้อตกลงให้จ้างงานโจทก์อีก 5 ปี โดยถือเป็นการจ้างงานใหม่ซึ่งมีระยะเวลาจ้างงานที่แน่นอน และให้เกษียณอายุเมื่อโจทก์มีอายุครบ 60 ปี ในวันที่ 24 กันยายน 2538 ให้ได้รับค่าชดเชยโดยคิดจากฐานเงินเดือนสุดท้ายและถ้าสามารถนำบริษัทจำเลยที่ 1 เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จะมีค่าตอบแทนให้เป็นกรณีพิเศษและมีเวลาปฏิบัติงานอย่างน้อยวันละสองชั่วโมง สิทธิพักร้อนปีละหนึ่งเดือน โจทก์นำข้อเสนอดังกล่าวมาพิจารณาแล้วตัดสินใจทำงานให้จำเลยที่ 1 และโจทก์ก็สามารถดำเนินการเป็นผลให้จำเลยที่ 1 เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในเดือนมกราคม 2535 และทำให้จำเลยที่ 1 มีทุนขยายโรงพยาบาลจาก 105 เตียง เป็น 270 เตียง เป็นผลสำเร็จตามข้อตกลง แต่นาย อ. ถึงแก่กรรมเมื่อเดือนมิถุนายน 2535 ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2538 โจทก์รายงานผลการปฏิบัติงานตั้งแต่ปี 2525 ถึง 2538 ว่าได้รับความสำเร็จซึ่งทำประโยชน์ให้จำเลยที่ 1 หลายร้อยล้านบาท จึงขอให้คณะกรรมการจำเลยที่ 1 พิจารณาผลตอบแทนให้ตามข้อตกลงที่ได้สัญญาไว้เนื่องจากโจทก์จะมีอายุครบ 60 ปี ในวันที่ 24 กันยายน 2538 แต่จำเลยที่ 1 มิได้จ่ายค่าชดเชยและค่าตอบแทนให้โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายในปี 2533 เดือนละ 54,000 บาท และในปี 2538 เดือนละ 118,250 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยในช่วงแรกเป็นเงิน 324,000 บาท และในช่วงหลังเป็นเงิน 709,500 บาท และมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนพิเศษอัตราละร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิจากผลประกอบการระหว่างปี 2529 ถึง 2533 เป็นเงิน 3,717,211.41 บาท และระหว่างปี 2533 ถึง 2538 เป็นเงิน 3,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของค่าชดเชยและค่าตอบแทนพิเศษแต่ละช่วงนับแต่วันที่ 24 กันยายน 2533 และวันที่ 24 กันยายน 2538 ตามลำดับ ถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงินทั้งสิน 12,334,634 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามจ่ายค่าตอบแทนพิเศษรวมจำนวน 10,754,361.80 บาท และค่าชดเชยรวมจำนวน 1,580,277.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินค่าตอบแทนพิเศษ 6,717,211.41 บาทและต้นเงินค่าชดเชยรวมจำนวน 1,033,500 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์เป็นเวลาต่อเนื่องกันตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2525 ถึงเดือนกันยายน 2538 ในระหว่างเวลาดังกล่าวโจทก์ไม่เคยออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุและจำเลยที่ 1 ไม่เคยว่าจ้างโจทก์ให้ปฏิบัติงานพิเศษตามที่โจทก์กล่าวอ้าง สัญญาจ้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน จำเลยที่ 1 ไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุเกษียณอายุหรือด้วยเหตุอื่นใด จึงไม่มีหน้าที่จ่ายค่าชดเชยในปี 2533 และ 2538 พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงจ่ายเงินให้โจทก์เป็นค่าตอบแทนพิเศษซึ่งถือเป็นค่าจ้างในอัตราร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2529 ถึง 2533 และรอบระยะเวลาบัญชีปี 2533 ถึง 2538 แต่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการแพทย์ และแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นบุคคลหนึ่งของคณะกรรมการบริหารซึ่งต้องร่วมปฏิบัติหน้าที่กับคณะกรรมการบริหารอื่นๆ ให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทจำเลยที่ 1 โจทก์คนเดียวจึงไม่มีอำนาจบริหารงานของบริษัทอย่างอิสระโดยลำพังเกี่ยวข้องก็เฉพาะเรื่องการลงนามในเอกสารในฐานะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ไม่ใช่นายจ้างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปรากฏว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เคยจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ และโจทก์ยังเป็นคณะกรรมการบริหารของจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 1 มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานบริษัทโรงพยาบาลเอกชน จำกัด พ.ศ. 2525 ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1 มีสถานะเป็นบริษัทมหาชน จึงเปลี่ยนเป็นข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานพนักงานบริษัทโรงพยาบาลมหาชน จำกัด และวันที่ 25 กันยายน 2538 เป็นวันสุดท้ายที่โจทก์ทำงาน โดยโจทก์ขอลาออกจากงานเอง

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้วมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 2 ก (2) ที่ว่าโจทก์เป็นพนักงานประเภทอื่นตามความหมายของระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานจำเลยที่ 1 ซึ่งต้องเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 55 ปี ถือเป็นการเลิกจ้างดยไม่ต้องบอกกล่าวเลิกจ้างจำเลยที่ 1 ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานบริษัทโรงพยาบาลเอกชน จำกัด พ.ศ. 2525 ได้กำหนดความหมายของพนักงานไว้ในข้อ 4 ว่า “พนักงาน” หมายถึงบุคคลซึ่งคณะกรรมการบริหาร หรือผู้ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจได้ตกลงจ้างโดยสั่งบรรจุและแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานในหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งตามระเบียบข้อบังคับฉบับนี้ ในข้อ 4 ยังกำหนดไว้ด้วยว่า “พนักงาน” มี 3 ประเภท ได้แก่พนักงานทดลอง พนักงานประจำ และพนักงานนอกเวลาหรือพนักงานซึ่งตกลงจ้างโดยมีเงื่อนไข “พนักงานประจำ” หมายถึงพนักงานทดลองซึ่งได้ผ่านการทดลองการปฏิบัติงานมาแล้วหรือพนักงานประเภทอื่นซึ่งคณะกรรมการบริหารหรือผู้ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจได้พิจารณาว่าเป็นผู้ที่มีความประพฤติ ความรู้ ความสามารถ เหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่จะได้รับแต่งตั้งก็ให้สั่งบรรจุและแต่งตั้งให้เป็นพนักงานประจำได้ ดังนั้น แม้จะเป็นพนักงานประเภทอื่นก็ต้องเป็นบุคคลซึ่งคณะกรรมการบริหารหรือ ผู้ที่ได้รับมอหมายให้มีอำนาจได้สั่งบรรจุและแต่งตั้งให้เป็นพนักงานประจำ โจทก์เข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์โดยการชักชวนจากนาย อ. ประธานกรรมการบริษัท จำเลยที่ 1 คณะกรรมการบริษัทเป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร ถ้าระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานจำเลยที่ 1 มิได้ตัดอำนาจของคณะกรรมการบริษัทหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ในการบรรจุแต่งตั้งบุคคลใดเป็นพนักงานตามที่โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์ ก็ต้องระบุไว้ในข้อบังคับดังกล่าว เมื่อคณะกรรมการจำเลยที่ 1 แต่งตั้งโจทก์เป็นผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์และเป็นกรรมการบริหาร โจทก์จึงไม่เป็นพนักงานอื่นตามความหมายของระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานจำเลยที่ 1 ซึ่งต้องสิ้นสภาพการเป็นพนักงานเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ตามระเบียบข้อบังคับดังกล่าวในข้อ 11 อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

อุทธรณ์ของโจทก์ข้อสองที่ว่า โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 1 มาจนเกษียณอายุเมื่อครบ 55 ปี คณะกรรมการของจำเลยที่ 1 และจำเลยทั้งสามก็มิได้ทักท้วงกลับยอมให้โจทก์ทำงานให้จำเลยที่ 1 ตลอดมาในตำแหน่งเดิม เป็นการที่จำเลยทั้งสามยอมให้นาย อ. เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ในการเจรจาและทำสัญญาจ้างโจทก์ในช่วงที่ 2 ระหว่างปี 2533 ถึง 2538 โจทก์ออกจากงานเมื่ออายุครบ 60 ปี จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อคดีรับฟังมิได้ว่าโจทก์ เป็นพนักงานประเภทอื่นและต้องเกษียณเมื่ออายุครบ 55 ปีแล้ว อีกทั้งศาลแรงงานกลางรับฟังว่า โจทก์ขอลาออกเอง จำเลยที่ 1 มิได้เลิกจ้างโจทก์ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 720/2549)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น