ตอนนี้น้ำมันขึ้นราคาอยู่เรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดหรือหยุดอยู่ที่เท่าไร ปัญหาที่ตามมาก็คือ สินค้าและบริการต่าง ๆ ที่สืบเนื่องก็จะต้องขึ้นราคา โดยที่แทบจะไม่มีใครคัดค้าน เนื่องจากเป็นสิ่งที่เห็นกันโดยชัดแจ้ง และเข้าใจในความเดือดร้อน หนทางที่ดีที่สุดขณะนี้ก็คือ ต้องประหยัดกันเอาเอง สิ่งใดที่ไม่จำเป็นหรือหาอย่างอื่นทดแทนได้ ก็ต้องทำเพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายมันเพิ่มขึ้นมากเกินไป จนเกิดความเดือดร้อนขึ้น เพราะเราไม่อาจฝากความหวังไว้กับนักการเมืองที่ชอบอ้างประชาชนเป็นเกราะกำบังตัว แต่ไม่เคยช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงใจเลย ไม่ว่ายุคใดสมัยใดก็ตาม
ทั้งนี้เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียดในยามที่ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน จึงขอนำเสนอด้วยเรื่องที่อยากให้เป็นกรณีศึกษาหรืออุทาหรณ์แก่ทุกคนโดยไม่จำกัดเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิด แต่ถูกเลิกจ้าง ลูกจ้างจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางเพื่อขอความเป็นธรรม
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการทางพิเศษ จำเลยที่ 2 เป็นรองผู้ว่าการฝ่ายวิชาการ รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และเป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2540 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งที่ 45/2540 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยและสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งโดยมีจำเลยที่ 3 ถึงจำเลยที่ 6 เป็นคณะกรรมการสอบสวน กล่าวหาว่าโจทก์ร่วมกับพนักงานผู้อื่นกระทำผิดวินัยร้ายแรง กระทำทุจริตต่อหน้าที่หรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการอื่นที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงโดยนำส่งเงินรายได้ค่าผ่านทางในช่วงระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2539 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2540 ไม่ครบตามหลักฐานที่ปรากฏ ส่งเงินรายได้ขาดไปเป็นเงินทั้งสิ้น 4,770 บาท ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนได้สรุปความเห็นว่าโจทก์ได้กระทำความผิดตามกล่าวหาจริงและให้โจทก์ชดใช้เงินแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงินทั้งสิ้น 11,750 บาท และได้มีคำสั่งที่ 419/2540 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2540 ไล่โจทก์ออกจากงานตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2540 เป็นต้นไป นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ และศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ได้ยื่นเรื่องขอกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมพร้อมทั้งขอรับเงินเดือนในระหว่างถูกไล่ออกด้วย แต่จำเลยที่ 2 ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า คำสั่งลงโทษทางวินัยโจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมายและไม่อาจเพิกถอนได้ จึงไม่รับโจทก์กลับเข้าทำงานตามขอ โจทก์เห็นว่าความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนของจำเลยที่ 3 ถึงจำเลยที่ 6 และคำสั่งของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากในคดีอาญาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์ไม่มีความผิด ดังนั้นจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำทุจริตต่อหน้าที่และมิได้เป็นผู้กระทำผิดวินัยร้ายแรง จำเลยทั้งหกต้องร่วมกันรับผิดชอบโดยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยและสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งและคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงาน และให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิเสธไม่รับโจทก์กลับเข้าทำงาน และให้จำเลยทั้งหกรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมโดยให้ชดใช้เงินเดือน เงินเพิ่มพิเศษ เงินล่วงเวลา เงินโบนัส เงินปรับขั้นเงินเดือน นับแต่เดือนธันวาคม 2539 จนถึงวันฟ้อง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระเงินเดือน เงินเพิ่มพิเศษ เงินล่วงเวลา ของแต่ละเดืนให้แก่โจทก์ทุกเดือนนับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะรับกลับเข้าทำงาน และให้ชำระเงินโบนัส เงินปรับขั้นเงินเดือน ให้แก่โจทก์ทุกปีนับถัอจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์เข้าทำงาน
จำเลยทั้งหกให้การว่า คำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ไล่โจทก์ออกจากงานชอบแล้ว เมื่อโจทก์ขอกลับเข้าทำงานอีก ย่อมเป็นการขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ไม่ได้ทำงานในระหว่างถูกไล่ออกจากงาน โจทก์มิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิได้รับเงินเดือนหรือเงินรายได้อื่นใดตามฟ้อง หากโจทก์จะมีสิทธิได้รับก็ได้รับเพียงเงินเดือนและเงินโบนัสในปี 2545 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนเงินรายได้อื่น ๆ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับ โจทก์ไม่มีสิทธิขอเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม โดยให้นับอายุงานใหม่ต่อเนื่องจากอายุงานเดิมที่คำนวณถึงวันก่อนเลิกจ้างและให้โจทก์ได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่นที่เคยได้รับอยู่เดิม แต่ในระหว่างที่ถูกเลิกจ้างนี้เห็นสมควรกำหนดเป็นค่าเสียหายให้จำนวน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแก่โจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และพนักงานเก็บเงิน 8 คน เคยส่งเงินค่าผ่านทางขาดมาก่อนเป็นประจำ เพียงแต่ครั้งนี้ส่งเงินขาดมากกว่าครั้งก่อน การที่คณะกรรมการสอบสวนและจำเลยที่ 1 รับฟังข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงทางเดียวว่า รายได้ค่าผ่านเป็นเท่าใด โดยไม่มีวิธีการอื่นที่สามารถตรวจสอบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์กลับไปได้ว่า การประมวลผลข้อมูลที่ได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ถูกต้องหรือแม่นยำเพียงใด ยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลได้ถูกต้องแล้ว พยานหลักฐานที่ฝ่ายจำเลยนำสืบจึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำทุจริตต่อหน้าที่ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรงในเรื่องทุจริตต่อหน้าที่แล้วยังเป็นการกระทำอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีโดยมิได้วินิจฉัยในประเด็นหลังจึงเป็นการพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 51 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกให้รับกลับเข้าทำงาน ดังนั้น การที่จะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับโจทก์กลับเข้าทำงานจะต้องพิจารณาถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างว่ามีเหตุจริงหรือไม่และเหตุนั้นเป็นเหตุสมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างหรือไม่ ซึ่งเหตุดังกล่าวอาจเป็นเหตุที่เกิดจากการกระทำของลูกจ้างหรือเหตุอื่นที่มิใช่การกระทำหรือความผิดของลูกจ้างก็ได้ แม้การกระทำของโจทก์จะไม่เป็นความผิดวินัยร้ายแรงในกรณีทุจริตต่อหน้าที่หรือกรณีกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถไล่โจทก์ออกได้ แต่การที่โจทก์ส่งเงินค่าผ่านทางขาดมาก่อนเป็นประจำ ผู้บังคับบัญชาได้ตักเตือนแล้วไม่ดีขึ้น โจทก์ยังส่งเงินขาดอีกหลายครั้ง ก่อนที่จะเลิกจ้างโจทก์ จำเลยที่ 1 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยโจทก์แล้ว ย่อมมีเหตุอันควรที่จำเลยที่ 1 จะไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ได้ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวการที่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรและไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับโจทก์กลับเข้าทำงานและให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2549)
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น