ปัจจุบันการเข้าทำงานในยังคงมีการตรวจสอบหรือทดสอบการทำงานในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “การทดลองงาน” อยู่ ไม่ว่าจะจบอะไรมา ทั้งนี้ ขึ้อยู่กับลักษณะงานที่ทำซึ่งบางครั้งจำเป็นต้องพิจารณาดูความสามารถในการทำงานสักระยะเวลาหนึ่ง หากเป็นที่พอใจของนายจ้าง ก็จะมีการบรรจุให้เป็นพนักงานประจำซึ่งจะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น คดีข้างล่างนี้จะเป็นตัวอย่างปัญหาหนึ่งที่ต้องรู้ไว้ก่อนเข้าทำงาน
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2547 จำเลยจ้างโจทก์ เข้าทำงานมีกำหนด 6 เดือน ตำแหน่งผู้จัดการเครื่องมือการแพทย์ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 35,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 4 ของเดือน ต่อมาวันที่ 31 พฤษภาคม 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบกำหนดสัญญาจ้างโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าอันเป็นการกระทำผิดสัญญาจ้าง ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 35,000 บาท ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจ้าง 149,333 บาท และค่าเสียโอกาส 250,000 บาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในระหว่างทดลองงาน เนื่องจากประเมินไม่ผ่านการทดลองงาน จึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและค่าเสียโอกาส และจำเลยได้จ่ายเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์แล้ว แต่เจ้าหน้าที่พิมพ์รายละเอียดผิดพลาด เป็นค่าชดเชย ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยมีวันเข้าทำงาน ตำแหน่ง อัตราค่าจ้างและกำหนดจ่ายค่าจ้างตามฟ้อง ตามสัญญาจ้างโจทก์เป็นสัญญาจ้างชั่วคราวมีกำหนด 6 เดือนเท่านั้น และเป็นการจ้างโดยมีเงินเดือนระหว่างทดลองงานเดือนละ 35,000 บาท เมื่อทำงานครบ 6 เดือน แล้วจะพิจารณาบรรจุเป็นพนักงานหรือไม่อีกครั้ง ต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากไม่ผ่านการประเมินผลการทดลองงานและได้จ่ายเงินให้โจทก์นอกจากเงินเดือนเป็นเงิน 35,000 บาท โดยโจทก์ทำงานนับถึงวันเลิกจ้างเป็นเวลา 1 เดือน 23 วัน ซึ่งตามรายการจ่ายค่าชดเชย 35,000 บาท นั้นระบุว่าทำงานครบ 120 วัน ให้จ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2547 ตามสัญญาจ้างชั่วคราวมีกำหนด 6 เดือน ได้รับค่าจ้างระหว่างทดลองงานเดือนละ 35,000 บาท เมื่อทำงานครบ 6 เดือนแล้วจะพิจารณาว่าจะบรรจุให้เป็นพนักงานหรือไม่ ต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2547 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากไม่ผ่านการประเมินผลการทดลองงานและจ่ายเงินให้โจทก์นอกเหนือจากเงินเดือนจำนวน 35,000 บาท โดยระบุว่าเป็นค่าชดเชย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า สัญญาจ้างเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า เอกสารสัญญาจ้างระบุไว้ว่า นี่เป็นการจ้างทดลองงานในตำแหน่งหน้าที่ที่มอบหมายสำหรับนาย ท. ดังต่อไปนี้ ตำแหน่งผู้จัดการส่วนเครื่องมือทางการแพทย์ เริ่มทำงานวันที่ 8 เมษายน 2547 เป็นสัญญาจ้างงานชั่วคราวมีระยะเวลา 6 เดือน เงินเดือนเบื้องต้น 35,000 บาท ต่อเดือน หลังจากทำงานครบ 6 เดือนแล้ว กรรมการผู้จัดการของจำเลยจะพิจารณาว่า จะบรรจุเป็นพนักงานหรือไม่ หมายความว่า จำเลยตกลงจ้างโจทก์โดยมีกำหนดให้ทดลองงานไม่เกิน 6 เดือน หากผ่านการทดลองงานก็จะบรรจุเป็นพนักงานต่อไป ถ้าไม่ผ่านการทดลองงานก็จะเลิกจ้าง ซึ่งไม่แน่นอนว่าโจทก์จะผ่านการทดลองงานหรือไม่ และจำเลยจะบรรจุโจทก์เป็นพนักงานต่อไปหรือไม่ สัญญาจ้างดังกล่าวจึงมีแน่นอนว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด มิใช่สัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน แม้สัญญาจ้างดังกล่าวจะมีข้อความว่า หลังจากทำงานครบ 6 เดือน แล้วจะพิจารณาว่าจะบรรจุโจทก์เป็นพนักงานต่อไปหรือไม่ ก็ไม่ทำให้สัญญาจ้างดังกล่าวกลับกลายเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาจ้างไว้แน่นอนขึ้นมา เพราะยังไม่แน่นอนว่าโจทก์จะผ่านการทดลองงานหรือไม่ และทำงานครบกำหนด 6 เดือนหรือไม่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อสองว่า จำเลยประเมินว่าโจทก์ไม่ผ่านการทดลองงานในระยะเวลาเพียง 1 เดือน 23 วัน นั้นชอบหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า สัญญาจ้างการทดลองงานนั้น หมายถึง สัญญาจ้างที่นายจ้างตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยมีเงื่อนไขให้ลูกจ้างทดลองทำงานชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อพิจารณาการทำงานของลูกจ้างเกี่ยวกับความรู้ความสามารถ ความรับผิดชอบในการทำงาน ปริมาณงาน ประสิทธิภาพของงาน ความขยันขันแข็งในการทำงาน ความระมัดระวัง ละเอียดรอบคอบในการทำงาน ตลอดจนความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อผลสำเร็จของงาน หากลูกจ้างนั้นผ่านการประเมินก็จะจ้างกันต่อไป ถ้าไม่ผ่านการประเมินก็จะเลิกจ้าง ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดกรอบระยะเวลาในการประเมินงานไว้ จึงขึ้นอยู่กับข้อตกลงของนายจ้างกับลูกจ้างว่าจะกำหนดให้มีการประเมินงานกันภายในกำหนดเวลาเท่าใด หากมิได้มีการตกลงระยะเวลากันไว้ก็ให้ประเมินตามความเหมาะสมและสมควรของลักษณะและประเภทของงาน คดีนี้โจทก์และจำเลยมิได้ตกลงเรื่องระยะเวลาประเมินผลงานไว้ จึงให้ประเมินได้ตามสมควรแห่งลักษณะและสภาพของงาน การที่จำเลยประเมินว่า โจทก์ไม่ผ่านการทดลองงานและเลิกจ้างโจทก์ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน 23 วัน แม้จะเป็นระยะเวลาที่สั้น แต่เมื่อคู่ความแถลงรับว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากไม่ผ่านการทดลองงานและไม่มีการโต้แย้งว่าการประเมินของจำเลยไม่ชอบอย่างไร จึงต้องถือว่าเป็นการประเมินที่ชอบแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อสุดท้ายว่า จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยกับค่าจ้าง(ค่าเสียหาย)อีก 4 เดือน 7 วัน และค่าเสียโอกาสให้แก่โจทก์หรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน เห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกค่าชดเชยจากจำเลยแต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์ในเรื่องค่าชดเชยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย สำหรับประเด็นเรื่องค่าจ้างและค่าเสียโอกาสนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกค่าจ้างจากจำเลยแต่อย่างใด แต่ตามอุทธรณ์ของโจทก์ขอเรียกค่าจ้างจากจำเลย 4 เดือน 7 วัน เพราะเหตุเลิกจ้างก่อนครบกำหนดเวลาจ้างตามสัญญาจ้าง กรณีพอถือได้ว่าโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยตามคำฟ้องของโจทก์ข้อที่ 1 นั่นเอง ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในประเด็นตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า สัญญาจ้างตามเอกสารเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่ผ่านการทดลองงาน จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและค่าเสียโอกาสตามฟ้องจากจำเลย อุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8682/2548)
เดิมเคยข้องใจกันอยู่ว่าหากสัญญาจ้างทดลองงานเขียนกำหนดไว้ให้”ทดลองงาน 6 เดือน” กับ”ทดลองงานไม่เกิน 6 เดือน” จะมีความหมายที่แตกต่างกันหรือไม่ ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าไม่แตกต่างกัน
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น