รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สิทธิในการปกป้องชื่อเสียงให้พ้นจากการถูกทำลาย

หากมีคนแอบอ้างชื่อของคุณไปหาประโยชน์ ทำให้คุณได้รับความเสียหาย คุณมีสิทธิปกป้องชื่อเสียงด้วยตนเองหรือไม่? คดีเรื่องหนึงลูกจ้างถูกเลิกจ้างเพราะเหตุปกป้องชื่อเสียงของตนเอง โดยนายจ้างอ้างว่าลูกจ้างกระทำการที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงเกิดเรื่องพิพาทกันถึงศาลฎีกา ผลเป็นอย่างไร เชิญติดตามอ่านได้จากเรื่องข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2545 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งที่ 250/2545 ลงโทษไล่โจทก์ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 2 ซึ่งมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์เป็นการส่วนตัวกลับกลั่นแกล้งแต่งตั้งพรรคพวกเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้วออกคำสั่งที่ 402/2545 ยกอุทธรณ์ของโจทก์ และให้เพิ่มเติมฐานความผิดว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นการไม่ชอบ ขอให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนคำสั่งที่ 250/2545 ให้จำเลยที่ 1 รับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราเงินเดือนเดิม โดยให้โจทก์ได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์เดิมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2545 หากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมหรือไม่อาจรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า บำเหน็จถึงเกษียณอายุและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม รวมเป็นเงิน 12,211,431 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า เนื่องจากนาย พ. ได้ร้องเรียนต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมว่า ถูกโจทก์ทำร้ายร่างกายและใช้กิริยามารยาทไม่สุภาพ จำเลยที่ 2 จึงมีคำสั่งที่ 541/2544 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเชื่อตามที่นาย พ. ร้องเรียน จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งที่ 234/2545 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเห็นว่า โจทก์ไม่รักษาวินัยตามข้อ 4.9 และข้อ 4.13 แห่งข้อบังคับฉบับที่ 46 เป็นการผิดวินัยร้ายแรงตามข้อ 8.2 สมควรลงโทษไล่ออก จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งที่ 250/2545 ลงโทษไล่โจทก์ออก โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง จำเลยที่ 1 มีคำสั่งที่ 363/2545 แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เฉพาะกรณี คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าระดับโทษเหมาะสมกับความผิดแล้ว แต่คำสั่งลงโทษควรเพิ่มเติมข้อความว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อ 8.9 ไว้ด้วย จำเลยที่ 2 เห็นชอบจึงดำเนินการตามมติคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้ปฏิบัติตามข้อบังคับฉบับที่ 46 และให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ การสอบสวนชอบด้วยข้อบังคับข้อ 22 ข้อ 25 และข้อ 26 โจทก์ได้กระทำการที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ของตน เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จำเลยที่ 2 มีอำนาจลงโทษไล่โจทก์ออกได้ การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เพิ่มฐานความผิดเป็นการปรับบทลงโทษให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ไม่ใช่การเพิ่มบทลงโทษในชั้นอุทธรณ์ โจทก์กระทำความผิดร้ายแรง มีโทษถึงไล่ออก คำสั่งของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับกลับเข้าทำงานหรือเรียกร้องเงินใด ๆ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยที่ 1 ตำแหน่งสุดท้ายได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ นาย พ. เคยเป็นพนักงานขับรถของจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ แล้วออกไปเป็นผู้จัดการของบริษัทที่เดินรถร่วมกับจำเลยที่ 1 มิได้สนิทสนมคุ้นเคยกับโจทก์ แต่นาย พ. ชอบอ้างว่าเป็นเพื่อนกับโจทก์และอ้างชื่อโจทก์ไปเบ่งกับพนักงานของจำเลยที่ 1 ในลักษณะที่ทำให้โจทก์เสียหาย เคยอ้างชื่อโจทก์ขอเปลี่ยนเอาอะไหล่รถคันอื่นมาใส่รถยนต์เก่าที่นาย พ. ซื้อจากจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นคนตรง ไม่ชอบให้ใครอ้างชื่อหาเศษหาเลย จึงรู้สึกไม่พอใจพฤติการณ์ของนาย พ. วันเกิดเหตุคือวันที่ 9 พฤศจิกายน 2544 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา โจทก์ทราบจากนาย อ. พนักงานขับรถว่านาย พ. มาประชุมที่สำนักงานใหญ่ โจทก์จึงเข้าไปหา เมื่อจำได้ว่านาย พ. เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา โจทก์ได้ใช้มือบีบแก้มนาย พ. ให้หันมาทางโจทก์แล้วพูดว่า กูเป็นเพื่อนมึงหรือจะเส้นใหญ่มาจากไหน อย่ามาเรียกกูไอ้ ร. กูไม่ใช่เพื่อนมึง แล้วโจทก์กลับไปทำงาน หลังจากนั้นนาย พ. ไปที่ลานจอดรถและพูดว่า ถ้าเอาปืนมา จะยิงโจทก์ให้ตาย นาย อ. ได้ยินนำไปบอกโจทก์ โจทก์จึงเดินตามนาย พ. ไปที่ห้องประชุม ขณะนั้นการประชุมยังไม่ได้เริ่มขึ้น โจทก์ตั้งใจจะไปต่อว่านาย พ. แต่นาย พ. ทำเป็นไม่สนใจโจทก์ด้วยการพูดโทรศัพท์เคลื่อนที่ โจทก์โกรธจึงเดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะที่อยู่ข้างหน้านาย พ. แล้วถอดรองเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเคาะและวางบนโต๊ะ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เข้าไปแยกโจทก์ออกจากห้องประชุม นาย พ. ไปร้องทุกข์ พนักงานอัยการได้ฟ้องโจทก์ในข้อหาทำร้ายนาย พ. ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 โจทก์ให้รับสารภาพ ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาลงโทษปรับ 500 บาท โจทก์ยอมเสียค่าปรับ จากเหตุการณ์ดังกล่าวจำเลยที่ 2 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โจทก์ได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเห็นว่าโจทก์กระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ชั้นสอบสวนทางวินัยคณะกรรมการไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้โจทก์ทราบ ไม่ได้ให้โจทก์ให้การแก้ข้อกล่าวหา ไม่ได้สอบปากคำโจทก์หรือเปิดโอกาสให้โจทก์อ้างถึงพยานหลักฐาน แล้วคณะกรรมการสอบสวนได้รายงานผลต่อจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์ทำร้ายนาย พ. จนได้รับบาดเจ็บ ทั้งแสดงกิริยาและใช้วาจาไม่สุภาพกับนาย พ. ซึ่งเป็นผู้มาติดต่อกับองค์การ เป็นการไม่รักษาวินัย เป็นการกระทำความผิดทางวินัยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ เป็นเหตุเสียหายแก่องค์การอย่างร้ายแรงสมควรลงโทษไล่ออก วันเดียวกันจำเลยที่ 2 จึงมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 โดยมิได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 1 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เฉพาะกรณี คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นขอบกับคำสั่งลงโทษไล่โจทก์ออก และเห็นสมควรเพิ่มเติมฐานความผิดว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงด้วย จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งที่ 402/2545 เพิ่มเติมฐานความผิดดังกล่าวลงในคำสั่งล่งโทษไล่โจทก์ออก และเมื่อปี 2545 โจทก์เคยไปปรึกษานาย ช. เจ้าของหนังสือพิมพ์และเป็นวุฒิสมาชิกเป็นเพื่อนกับโจทก์เกี่ยวกับกรณีการเช่าและซ่อมบำรุงรถยูโรทูมูลค่าหลายพันล้านบาท โดยมีจำเลยที่ 2 และนาย ป. ซึ่งจำเลยที่ 2 แต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนโจทก์เป็นกรรมการพิจารณาจัดเช่าและซ่อมบำรุงอันส่อไปในทางทุจริต ทำให้จำเลยที่ 1 เสียผลประโยชน์ และหนังสือพิมพ์ดังกล่าวได้ลงข่าวหน้าหนึ่งว่ามีการทุจริตเกี่ยวกับการจัดเช่าและซ่อมบำรุงรถยูโรทู 500 คันในองค์การจำเลยที่ 1 หลายครั้ง ทั้งนาย ช. ได้ตั้งกระทู้ถามในวุฒิสภาและคณะกรรมาธิการ ปกครองของวุฒิสภาได้ทำการตรวจสอบและส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพิจารณา

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านาย พ. เป็นฝ่ายก่อเหตุ โจทก์ใช้วิธีตอบโต้แม้จะหยาบคายไม่เหมาะสม แต่โจทก์ก็ยอมรับโทษตามคำพิพากษาของศาลไปแล้ว ฟังไม่ได้ว่าโจทก์จงใจทำผิดข้อบังคับ และการกระทำของโจทก์และนาย พ. เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเห็นได้ว่าการกระทำของนาย พ. ชั่วร้ายกว่า จะฟังว่าการกระทำของโจทก์เป็นการประพฤติชั่วยังไม่ได้ โจทก์ไม่ได้ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง หรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่หาประโยชน์อันมิชอบ การกระทำที่ถูกฟ้องร้องเป็นเพียงความผิดลหุโทษและศาลเพียงแต่ลงโทษปรับ ไม่เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง การสอบสวนและการลงโทษโจทก์ออกไม่ชอบ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งที่ 250/2545 ให้จำเลยทั้งสองรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมพร้อมทั้งจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 30,000 บาทนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงาน หากไม่ยอมรับหรือไม่สามารถรับกลับเข้าทำงานได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้ร่วมกันจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 80,534 บาท ค่าชดเชย 308,430 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 1,850,580 บาท รวมเป็นเงิน 2,239,544 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า โจทก์มีสิทธิปกป้องชื่อเสียงให้พ้นจากการถูกทำลายของนาย พ.แม้จะเป็นวิธีที่รุนแรงไม่เหมาะสมและเป็นการทำร้ายนาย พ. แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์จงใจทำผิดข้อบังคับของจำเลยหรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง การเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัวหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นนายจ้างตามความในพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 แต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 จำเลยที่ 2 กระทำไปภายในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2548)

คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้ยืดยาว....บทสรุปคือเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีที่ศาลยอมรับว่า “โจทก์มีสิทธิปกป้องชื่อเสียงให้พ้นจากการถูกทำลายได้” ซึ่งเป็นเรื่องที่ชอบแล้วจริง ๆ คุณเห็นด้วยไหมล่ะ

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น