รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไม่เอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของนายจ้าง

การเป็นลูกน้องไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ บางครั้งต้องอดทน กล้ำกลืน แม้จะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แต่ต้องกระทำไป ซึ่งผู้รักษากฎบางท่านก็เข้าใจ หากแต่จำเป็นต้องวางกฎเกณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางของสังคม ส่วนทางปฏิบัติจริงจะสามารถทำได้เพียงใดแค่ไหน ขอนำคดีที่น่าสนใจมาให้ศึกษากันอีกเช่นเคย

เรื่องมีอยู่ว่าโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจ โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2538 ครั้งสุดท้ายดำรงตำแหน่งพนักงานบริหารงานทั่วไป 4 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 11,900 บาท ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 2546 จำเลย มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยกล่าวหาว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ในการจัดซื้อพระบรมฉายาลักษณ์ จำนวนเงิน 3,000 บาท และใช้ใบเสร็จรับเงินปลอมเพื่อประกอบการเบิกจ่ายเงินดังกล่าว โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการของจำเลย คณะกรรมการของจำเลยพิจารณาแล้วมีมติยืนตามคำสั่งเลิกจ้างของจำเลย โจทก์ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผลการพิจารณาคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวเพราะนาย ท. ผู้จัดการสำนักงานฯภาคใต้เป็นผู้จัดซื้อพระบรมฉายาลักษณ์ โดยโจทก์ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือกระทำการใดๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อด้วย ทั้งโจทก์ได้ทักท้วงแล้ว แต่นาย ท. บอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเงินเพียง 3,000 บาท หากมีปัญหา นาย ท. จะเป็นผู้รับผิดชอบและชี้แจงเอง โจทก์จึงไม่กล้าทักท้วงหรือขัดใจนาย ท. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสามารถให้คุณให้โทษแก่โจทก์ได้ โจทก์ทราบว่ามีการจัดซื้อพระบรมฉายาลักษณ์ เพราะนาย ส. พนักงานบริหารงานทั่วไปนำแบบพิมพ์ การขออนุมัติจัดซื้อจัดจ้างของจำเลยซึ่งจดแจ้งข้อความการจัดซื้อพระบรมฉายาลักษณ์จากห้องภาพ ศ. จำนวนเงิน 3,000 บาท และนาย ก. พนักงานตรวจรับพัสดุผู้รายงานผลการตรวจรับได้ลงลายมือชื่อว่า การตรวจรับพัสดุพระบรมฉายาลักษณ์ถูกต้องแล้ว มายื่นต่อโจทก์พร้อมใบเสร็จรับเงินของห้องภาพ ศ.เพื่อให้ดำเนินการเสนอขออนุมัติการจัดซื้อตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างในระเบียบของจำเลย โจทก์ตรวจสอบแล้วเห็นว่าข้อความถูกต้องและได้มีการตรวจรับพัสดุครบถ้วนเรียบร้อยแล้วจึงลงลายมือชื่อขออนุมัติจัดซื้อในฐานะพนักงานพัสดุ และโจทก์มีหน้าที่ส่งเรื่องการตั้งเบิกจ่ายเงินการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานฯ ภาคใต้ไปยังสำนักงานใหญ่ เมื่อสำนักงานใหญ่อนุมัติแล้วจะส่งเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของสำนักงานฯภาคใต้ ซึ่งนาย ท.เป็นผู้บริหารจัดการไม่ปรากฏว่าเงินที่เบิกจ่ายค่าพระบรมฉายาลักษณ์สูญหายหรือยักยอกเบียดบังไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวอื่นจะถือว่าเป็นการทุจริต ทั้งกรณีที่เกิดขึ้นมีพนักงานและลูกจ้างของจำเลยถูกสอบสวนความผิดอีกหลายคนแต่ได้รับโทษสถานเบา มีเพียงโจทก์ที่จำเลยลงโทษในข้อหาทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง อันเป็นการเลือกปฏิบัติ โจทก์จึงไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการของจำเลยซึ่งมีคำสั่งลงโทษโจทก์ ยืนตามคำสั่งลงโทษทางวินัยจำเลย ให้จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งเดิมและใช้ค่าเสียหายเดือนละ 11,990 บาท ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2546 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลาง เพราะคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยได้สอบสวนพยานบุคคล พยานเอกสารและวินิจฉัย ออกคำสั่ง มาครั้งหนึ่งแล้ว และคณะกรรมการของจำเลยยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ด้วย หากศาลแรงงานกลางสืบพยานของทั้งสองฝ่ายอีกจะเป็นการซ้ำซาก การให้ศาลปกครองทบทวนข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและคณะกรรมการของจำเลย แล้วพิพากษาคดีจะสะดวกรวดเร็ว ทำให้คดีเสร็จไปโดยง่ายตรงตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ทั้งโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่เป็นพนักงานของจำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจัดตั้งขึ้นโดย ด้วยงบประมาณของรัฐ มีคณะกรรมการบริหารเป็นข้าราชการ โจทก์จึงมีฐานะเป็นพนักงานของรัฐเสมือนเป็นข้าราชการ การให้โจทก์ออกจากงานตามข้อบังคับของจำเลยเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง จึงควรให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดี โจทก์เป็นพนักงานไม่ใช่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 การวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ต้องวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 จะวินิจฉัยเพียงว่าไม่ได้กระทำความผิดตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มิได้ โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ดำเนินการจัดซื้อพระบรมฉายาลักษณ์มิได้มีการจัดซื้อจริงและใช้ใบเสร็จรับเงินปลอม จำเลยออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวโดยได้ทำการสอบสวนตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 และข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 14 ว่าด้วย พนักงาน พ.ศ. 2525 ข้อ 65 แล้ว คำสั่งของจำเลย จึงชอบด้วยเหตุผลไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน จำเลยไม่ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานและใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เป็นพนักงานบริหารงานทั่วไป 4 สำนักงานฯภาคใต้ ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการพัสดุ เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2543 นาย ท. ผู้จัดการฯ ได้นำเงินรองจ่ายของสำนักงานฯภาคใต้ไปใช้ 3,000 บาท แล้วนำใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันรถจำนวน 2,000 บาท กับใบอนุโมทนาบัตรจำนวนเงิน 1,000 บาท มาให้โจทก์ นาย ส. และนาย ภ. ทำการเบิกจ่ายใช้คืนแต่ใบเสร็จรับเงินและใบอนุโมทนาบัตรดังกล่าวไม่สามารถใช้เบิกเงินรองจ่ายได้ นาย ท. จึงสั่งให้ทำเป็นการจัดซื้อพระบรมฉายาลักษณ์ โดยให้นาย ภ. นำพระบรมฉายาลักษณ์เก่าไปใส่กรอบและหาใบเสร็จรับเงินค่าซื้อพระบรมฉายาลักษณ์ของห้องภาพ ศ. จำนวนเงิน 3,000 บาท ซึ่งเป็นเอกสารเท็จมาดำเนินการขออนุมัติซื้อ โดยมี นาย ก. ลงลายมือชื่อเป็นผู้ตรวจรับ โจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขออนุมัติซื้อเสนอต่อนาย ท. และนาย ท.ได้ลงลายมือชื่ออนุมัติโดยไม่มีการซื้อพระบรมฉายาลักษณ์จริง และส่วนกลางได้ส่งเงินจำนวน 3,000 บาท มาเป็นรองจ่ายแทนเงินที่นาย ท. นำไปใช้แล้ว การที่โจทก์ซึ่งทราบอยู่แล้วว่าใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานเท็จและมิได้มีการสั่งซื้อพระบรมฉายาลักษณ์จริง แต่ยังดำเนินการเพื่อให้มีการอนุมัติจัดซื้อเพื่อจะเบิกจ่ายจากส่วนกลางมาแทนเงินรองจ่ายที่นาย ท. ได้ไปใช้โดยไม่ถูกต้อง แม้โจทก์จะไม่ได้รับประโยชน์จากเงินดังกล่าว แต่โจทก์ไม่ได้เอาใจใส่ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของจำเลย ยอมให้นาย ท. อาศัยอำนาจหน้าที่ของตนหาผลประโยชน์ โจทก์จึงมีส่วนร่วมในการทุจริตต่อหน้าที่ แม้โจทก์จะกระทำตามคำสั่งของนาย ท. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา คำสั่งดังกล่าวก็เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับ โจทก์ไม่จำเป็นต้องยอมทำตาม ที่โจทก์อ้างว่าเพราะกลัวนาย ท. จะเสนอย้าย อำนาจเด็ดขาดในการสั่งย้ายโจทก์มิได้อยู่ที่นาย ท. หากนาย ท. เสนอย้ายโจทก์สามารถเข้าชี้แจงแสดงเหตุผลต่อผู้บังคับบัญชาระดับเหนือขึ้นไปได้ ไม่มีเหตุผลที่โจทก์จะต้องกลัวเช่นนั้น ข้ออ้างดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์พ้นความผิด และจำเลยได้ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์โดยลดหย่อนโทษจากการไล่ออกเป็นการเลิกจ้าง เมื่อโจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยพิจารณาทบทวนเทียบเคียงการลงโทษกับมาตรฐานโทษ คณะกรรมการของจำเลย จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของจำเลย การเลิกจ้างโจทก์จึงมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์อุทธรณ์โดยอ้างเหตุต่างๆ สรุปได้ว่า โจทก์ไม่มีเหตุจูงใจที่จะต้องทำการทุจริตต่อหน้าที่หรือเข้าไปมีส่วนร่วมในการทุจริตต่อหน้าที่ โจทก์ขาดเจตนาในการกระทำทุจริต เรื่องทั้งหมดเกิดจากนาย ท. เป็นผู้วางแผนสั่งการและหลอกใช้โจทก์กับพวกเป็นเครื่องมือในการดำเนินการให้ลุล่วงตามแผนที่วางไว้ก่อนลงลายมือชื่อเป็นผู้เสนอขออนุมัติซื้อ โจทก์ได้ทักท้วงแล้ว แต่นาย ท. สั่งให้โจทก์ดำเนินการต่อโดยแจ้งว่าจะรับผิดชอบเอง โจทก์จึงเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นเรื่องบริหารจัดการภายในองค์กรเพื่อให้การเบิกคืนเงินรองจ่ายลงตัว และนาย ท. ในฐานะผู้จัดการฯภาคใต้มีอำนาจกระทำได้ ทั้งโจทก์เป็นเพียงผู้เสนอขออนุมัติซื้อ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการจัดซื้อ การตรวจรับสิ่งที่ซื้อและการอนุมัติซื้อตลอดจนการรับเงินที่ขอเบิก จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนร่วมในการสุจริตต่อหน้าที่ การกระทำของโจทก์เป็นเพียงการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยกรณีไม่ร้ายแรงซึ่งมีโทษเพียงเล็กน้อยไม่ถึงขั้นเลิกจ้าง และนาย ส. กับนาย ภ. ร่วมรู้เห็นในขณะที่นาย ท. เริ่มสั่งการให้ทำการเบิกคืนเงินรองจ่าย ทั้งนาย ภ. ยังได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ที่บ้านของตนไปใส่กรอบนำมาไว้ที่สำนักงานฯภาคใต้ตามคำสั่งของนาย ท. เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าได้มีการจัดซื้อพระบรมฉายาลักษณ์จริง แต่ไม่มีผู้ใดได้รับโทษสถานหนักเลิกจ้างเหมือนโจทก์ คงถูกลงโทษสถานเบาโดยว่ากล่าวตักเตือนหรือ ตัดเงินเดือนฐานผิดระเบียบข้อบังคับในกรณีไม่ร้ายแรงเท่านั้น คำสั่งของจำเลยจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบและเลือกปฏิบัติ ดังนี้ เป็นอุทธรณ์ที่ยกเหตุผลขึ้นมาหักล้างดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริง ให้เป็นไปตามที่โจทก์อุทธรณ์ ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์(ฎีกาที่ 723/2549)

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น