โดยปกติในการจ้างงานต้องปรากฏตัวนายจ้างและลูกจ้างที่ชัดเจน สัญญาจ้างจึงจะเกิดขึ้น กล่าวคือ การจ้างแรงงานต้องมี “ผู้ว่าจ้าง” ซึ่งเป็นเจ้าของงาน และมี “ผู้รับจ้าง”ซึ่งเป็นผู้ที่ทำงานให้ แต่บางครั้งในกรณีที่เป็นนิติบุคคล เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ก็อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ ในกรณีที่เพิ่งจดทะเบียนนิติบุคคลขึ้นใหม่ และในระหว่างที่เพิ่งเริ่มต้นหรือภาษาทางกฎหมายเรียกว่า “เริ่มก่อการ” ก็จำเป็นต้องมีการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมการไว้ เมื่อมีการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว นิติบุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบต่อการดำเนินการดังกล่าวก่อนการจดทะเบียนนิติบุคคลเพียงใด ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพนักงานที่ช่วยทำงานในระหว่างการก่อตั้งนิติบุคคล อยากทราบคำตอบ ลองดูคดีข้างล่างนี้นะครับ
เรื่องมีอยู่ว่า ลูกจ้าง 2 คนได้ยื่นฟ้องนายจ้างต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2542 และวันที่ 3 ตุลาคม 2543 จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองทำงานเป็นลูกจ้างทำหน้าที่เย็บผ้าและทำงานทั่วไป ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 150 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 5 และวันที่ 20 ของเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับค่าชดเชยคนละ 14,850 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าคนละ 2,970 บาท โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 2,970 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง และค่าชดเชยคนละ 14,850 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 สมัครเป็นพนักงานของจำเลยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 ส่วนโจทก์ที่ 2 เข้าทำงานเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2544 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 150 บาท จำเลยไม่เคยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยอยู่เป็นประจำ จำเลยตักเตือนแล้ว แต่โจทก์ทั้งสองยังคงกระทำผิดระเบียบข้อบังคับอยู่เช่นเดิม และในวันที่ 14 ตุลาคม 2544 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์และเป็นวันหยุด จำเลยมีความจำเป็นต้องเร่งผลิตสินค้า และได้ขอร้องให้พนักงานมาทำงานในวันดังกล่าว ซึ่งพนักงานคนอื่นได้ให้ความร่วมมือมาทำงาน แต่โจทก์ทั้งสองไม่ได้มาทำงาน ทำให้หัวหน้าผู้ควบคุมงานตำหนิโจทก์ทั้งสอง หลังจากนั้นโจทก์ทั้งสองก็ไม่มาทำงานอีก จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 2,970 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าชดเชยคนละ 14,850 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว วินิจฉัยว่า จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่า นางสาว ว. มิใช่เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย มิใช่นายจ้างของโจทก์ทั้งสอง จึงไม่มีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง การที่นางสาว ว. บอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีผลเป็นการเลิกจ้าง อีกทั้งคำพูดที่นางสาว ว. พุดกับโจทก์ทั้งสองว่า “หากไม่ให้ความร่วมมือก็อย่าทำงานด้วยกันเลย ออกไปดีกว่า เพราะจะทำให้งานเสียหายนั้น” เป็นการพูดด้วยความไม่พอใจที่โจทก์ทั้งสองไม่ยอมมาช่วยทำงาน อันจะทำให้นางสาว ว. ซึ่งเป็นหัวหน้าควบคุมงานอาจถูกจำเลยต่อว่าได้ มิใช่คำพูดให้โจทก์ทั้งสองออกจากงาน และไม่ปรากฏว่านางสาว ว. พูดกับโจทก์ทั้งสองว่าจะไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสอง จึงไม่ใช่เป็นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคสอง นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า นาย ช. กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยเห็นว่า โจทก์ทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยบ่อยครั้ง และโจทก์ทั้งสองไม่ให้ความร่วมมือในการมาทำงานในวันหยุดทั้งที่จำเลยมีงานเร่งด่วนที่ต้องผลิต จึงไม่พอใจและตัดสินใจเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง โดยให้นางสาว ว. เป็นผู้แจ้งแก่โจทก์ทั้งสองแทน ดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ..ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่า ศาลแรงงานกลางคิดคำนวณค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 นับตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2542 และโจทก์ที่ 2 นับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2543 เป็นการคิดคำนวณให้ก่อนวันที่จำเลยจดทะเบียนนิติบุคคล จึงเป็นการคำนวณค่าชดเชยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยประกอบกิจการมาก่อนวันที่จำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยโจทก์ที่ 1 เข้าทำงานกับจำเลยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2542 และโจทก์ที่ 2 เข้าทำงานกับจำเลยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2543 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยคำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายตามอายุงานซึ่งนับตั้งแต่วันที่โจทก์ทั้งสองเข้าทำงานจนถึงวันเลิกจ้าง การคำนวณค่าชดเชยของศาลแรงงานกลางดังกล่าวชอบด้วยมาตรา 118 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 482 - 483/2548)
ปัญหาที่ปรากฏในคดีนี้น่าสนใจ เนื่องจาก ศาลแรงงานกลางได้คำนวณอายุการทำงานของโจทก์ทั้งสองโดยรวมระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสองทำงานให้แก่จำเลยนับตั้งแต่ก่อนที่จำเลยจะได้จดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งโดยปกติก็น่าจะเป็นปัญหาให้ขบคิดกันว่า เมื่อจำเลยยังไม่ได้เป็นนิติบุคคลจะมีลูกจ้างได้อย่างไร ? ทั้งนี้ มองอีกมุมหนึ่งด้านลูกจ้าง หากไม่ถือว่าเป็นลูกจ้างของจำเลย แล้วที่โจทก์ทั้งสองทำงานมาใครจะต้องรับผิดชอบ คงไม่มีใครยอมทำงานให้ฟรี ๆ จริงไหมครับ คุณเห็นอย่างไรบ้าง ?
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ด้วยความเคารพ
ตอบลบสัญญาจ้างแรงงาน คู่สัญญาคือ "นายจ้าง" กับ "ลูกจ้าง" ครับ
ส่วน "ผู้ว่าจ้าง" กับ "ผู้รับจ้าง" เป็นคู่สัญญาใน สัญญาจ้างทำของ
ขอบคุณครับ ความจริงในที่นี้ผมตั้งใจให้มีความหมายธรรมดา มิใช่คำในภาษากฎหมาย จึงได้ใส่เครื่องหมาย "..." ไว้ ที่คุณท้วงมาถูกต้องครับในความหมายของภาษากฎหมาย ขอขอบคุณอีกครั้ง
ลบ