ในการปฏิบัติหน้าที่การงานโดยปกติ นายจ้างย่อมมีอำนาจสั่งให้ลูกจ้างปฏิบัติอย่างไรก็ได้ แต่หากเป็นการสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างเสียก่อน หากลูกจ้างไม่ยินยอมและไม่ทำงานล่วงเวลาตามที่นายจ้างสั่ง นายจ้างจะถือว่าลูกจ้างฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างไม่ได้ ดังเช่นคดีตัวอย่างข้างล่างนี้
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งที่ 33/2542 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2542 ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยให้แก่นาย จ. ลูกจ้างของโจทก์ ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ นาย จ. เข้าทำงานกับโจทก์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2540 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,860 บาท เมื่อเดือน มกราคม 2542 กระบวนการผลิตในส่วนของก๊าซคัทติ้ง ต้องการคนเพื่อเพิ่มผลผลิตชิ้นส่วน โจทก์จึงมีคำสั่งลงวันที่ 13 มกราคม 2542 ย้ายนาย จ. ไปทำงานในแผนกก๊าซคัทติ้ง ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2542 เป็นต้นไป เนื่องจากการทำงานต้องผ่านการอบรมการใช้เครื่องจักรก่อน โจทก์จึงกำหนดเวลา 18.00 น.ถึง 20.00 น. ของวันที่ 14 ถึงวันที่ 21 มกราคม 2542 เป็นการอบรมการใช้เครื่องจักร แต่นาย จ. ไม่ยอมย้ายไปทำงานตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา วันที่ 16 มกราคม 2542 โจทก์จึงเลิกจ้างนาย จ. การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำโดยชอบตามสัญญาจ้างลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา โจทก์จึงมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ขอให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานที่ 33/2542 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2542
จำเลยให้การว่า ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2542 โจทก์มีความประสงค์เพิ่มผลผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบให้แก่ลูกค้า โจทก์ได้ออกประกาศลงวันที่ 12 มกราคม 2542 ให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาตั้งแต่เวลา 18.00 น.ถึง 20.00 น.ของวันที่12 มกราคม 2542 ถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2542 แต่นาย จ. ไม่ยินยอมทำงานล่วงเวลา ต่อมาวันที่ 13 มกราคม 2542 โจทก์จึงมีคำสั่งย้ายนาย จ. ไปประจำแผนกก๊าซคัทติ้ง โดยให้ปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 14 ถึงวันที่ 21 มกราคม 2542 ในเวลา 18 ถึง 20 นาฬิกา ซึ่งเป็นการย้ายให้ไปทำงานนอกเวลาทำงานปกติ จึงเป็นคำสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา เมื่อนาย จ. ไม่ยินยอมจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 24 โจทก์เลิกจ้างนาย จ. ด้วยเหตุที่นาย จ. ไม่ยอมทำงานล่วงเวลาดังกล่าว จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นาย จ. คำสั่งของจำเลยที่ 33/2542 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2542 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว รับฟังข้อเท็จจริงว่า นาย จ. เป็นลูกจ้างของโจทก์ เข้าทำงานเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2540 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,860 บาท เวลาทำงานปกติตั้งแต่ 08.30 น.ถึง 17.30 นาฬิกา โดยทำงานอยู่ที่แผนกอะมะตะคัทติ้ง(Amata Cutting) เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2542 โจทก์มีหนังสือสั่งให้นาย จ. ย้ายจากแผนกอะมะตะคัทติ้ง ไปประจำแผนกก๊าซคัทติ้ง (Gas Cutting) ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2542 เป็นต้นไป และกำนดให้นาย จ.เข้าปฏิบัติการใช้เครื่องก๊าซคัทติ้งตั้งแต่วันที่ 14 ถึงวันที่ 21 มกราคม 2542 ในเวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. แต่นาย จ. ไม่ได้ย้ายแผนกและไม่ไปใช้เครื่องก๊าซคัทติ้งในเวลา 18 ถึง 20 นาฬิกา วันที่ 15 มกราคม 2542 โจทก์จึงมีหนังสือเตือนนาย จ. เรื่องมีวันลาจำนวนมากให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับเวลา กับเตือนมิให้นาย จ. ละทิ้งการทำงานล่วงเวลา ต่อมาวันที่ 16 มกราคม 2542 โจทก์เลิกจ้างนาย จ. เป็นหนังสือ โดยอ้างเหตุผลว่านาย จ. ไม่ย้ายไปประจำแผนกก๊าซคัทติ้งตามคำสั่ง และนาย จ. ละทิ้งการทำงานล่วงเวลาในวันที่ 15 มกราคม 2542 อันเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน นาย จ. ไปยื่นคำร้องที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่ 33/2542 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2542 ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยแก่นาย จ. 23,580 บาท แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คำสั่งย้ายนาย จ. ไปทำงานในแผนกก๊าซคัทติ้งในเวลาทำงานปกติเป็นคำสั่งที่นายจ้างรู้อยู่แล้วว่า ลูกจ้างไม่มีความสามารถใช้เครื่องจักรได้ และไม่มีเครื่องจักรให้ลูกจ้างทำงานในเวลาทำงานตามปกติได้ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม ส่วนคำสั่งที่ให้นาย จ. ปฏิบัติการใช้เครื่องจักรในเวลา 18 ถึง 20 นาฬิกา เป็นการสั่งให้ลูกจ้างทำงานนอกเวลาทำงานปกติ นายจ้างจึงไม่มีอำนาจสั่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับกรณีโจทก์มีหนังสือเตือนไม่ให้นาย จ. ละทิ้งหน้าที่ในการทำงานล่วงเวลา เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นาย จ. ไม่ได้ยินยอมทำงานล่วงเวลา การที่โจทก์ออกหนังสือเตือนให้นาย จ. ทำงานล่วงเวลา จึงเป็นการเตือนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะนาย จ. ไม่ได้ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้าง เมื่อโจทก์เลิกจ้างโดยอ้างเหตุกระทำผิดซ้ำคำเตือน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างเพราะเหตุนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) จำเลยสั่งให้โจทก์ใช้ค่าชดเชยแก่นาย จ. ชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ ? โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยให้การต่อสู้คดีเฉพาะประเด็นโจทก์เลิกจ้างนาย จ. กรณีที่โจทก์มีคำสั่งให้ย้ายนาย จ. ไปทำงานที่แผนกอื่นในเวลา 18 ถึง 20 นาฬิกา ว่าเป็นคำสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาโดยลูกจ้างไม่ยินยอมจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบเท่านั้น ศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นคำสั่งที่ให้ย้ายนาย จ. ไปทำงานในแผนกก๊าซคัทติ้งในเวลาปกติว่า เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำฟ้องคำให้การแล้วว่า นาย จ. ฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าว โจทก์จึงเลิกจ้างนาย จ. โดยอ้างเหตุนี้ได้
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์อ้างเหตุการเลิกจ้างนาย จ. สองประการ คือ ประการแรกนาย จ. ฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ที่สั่งให้นาย จ. ย้ายแผนก กับประการที่สองนาย จ. กระทำผิดซ้ำคำเตือนกรณีไม่ทำงานล่วงเวลา แม้จำเลยจะให้การต่อสู้เฉพาะประเด็นการให้นาย จ. ทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนาย จ. ฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ที่สั่งให้นาย จ. ย้ายไปทำงานในแผนกก๊าซคัทติ้งและต้องถือว่าจำเลยรับข้อเท็จจริงว่านาย จ. ไม่ไปทำงานในแผนกก๊าซคัทติ้งในเวลาปกติก็ตาม แต่กรณีลูกจ้างฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้าง ศาลต้องพิจารณษด้วยว่าเป็นคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ว่านาย จ. ไม่ได้ย้ายไปทำงานในแผนกก๊าซคัทติ้งตามคำสั่งของโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ได้วินิจฉัยนอกประเด็น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยในประการต่อไปว่า คำสั่งของโจทก์ที่สั่งให้นาย จ. ย้ายจากแผนกอะมะตะคัทติ้งไปทำงานที่แผนกก๊าซคัทติ้งในเวลาทำงานปกติเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า การโยกย้ายหน้าที่ลูกจ้างเป็นอำนาจบริหารจัดการของนายจ้าง ดังนั้นโจทก์ย่อมมีอำนาจย้ายนาย จ. ได้ แม้นาย จ.ยังใช้เครื่องจักรไม่เป็นก็สามารถฝึกการใช้เครื่องจักรได้ และแม้ในเวลาทำงานปกติในวันที่ 14 ถึงวันที่ 21 มกราคม 2542 นาย จ. ไม่สามารถฝึกใช้เครื่องจักรเพราะโจทก์ต้องใช้เครื่องจักรทำงการผลิตสินค้า โจทก์ก็อาจจะมอบหมายให้นาย จ. ทำงานอื่นในแผนกก๊าซคัทติ้งไปพลางก่อนก็ได้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คำสั่งของโจทก์เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เมื่อไม่ปรากฏว่าการสั่งให้นาย จ. ย้ายแผนกทำให้สภาพการจ้างของนาย จ. ต่ำกว่าเดิม และการออกคำสั่งย้ายงานดังกล่าวโจทก์มีเจตนากลั่นแกล้งนาย จ. คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแล้ว
มีปัญหาต่อไปที่ต้องวินิจฉัยว่า การที่นาย จ. ไม่ย้ายไปทำงานตามคำสั่งของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างกรณีร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า โจทก์รู้อยู่แล้วว่านาย จ. ใช้เครื่องจักรไม่เป็น แม้นาย จ. ย้ายไปทำงานก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประจำเครื่องจักรได้เพราะขณะนั้นโจทก์ใช้เครื่องจักรเร่งผลิตสินค้า การฝ่าฝืนคำสั่งของนาย จ. จึงไม่ได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง หรืออาจจะเสียหายอย่างร้ายแรง จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างกรณีร้ายแรง อุทธรณ์ของโจทก์ส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาประการสุดท้ายว่า นาย จ. กระทำผิดซ้ำคำเตือนกรณีละทิ้งหน้าที่การงานล่วงเวลาอันทำให้โจทก์มีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่ ปรากฏว่าในหนังสือเลิกจ้างอ้างเหตุที่เลิกจ้างว่า ละทิ้งการทำงานล่วงเวลาในวันที่ 15 มกราคม 2542 อันเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน จึงสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า นาย จ. มีหน้าที่ต้องทำงานล่วงเวลาในวันที่ 15มกราคม 2542 ในเวลา 18 ถึง 20 นาฬิกา หรือไม่ เห็นว่า นาย จ. มีเวลาทำงานปกติตั้งแต่เวลา 08.30 ถึง 17.30 นาฬิกา การที่โจทก์มีคำสั่งให้นาย จ. เข้าปฏิบัติการใช้เครื่องก๊าซคัทติ้งตั้งแต่วันที่ 14 ถึงวันที่ 21 มกราคม 2542 ในเวลา 18.00 น.ถึง 20.00 น. จึงเป็นการสั่งให้นาย จ. ทำงานนอกเวลาทำงานปกติซึ่งถือว่าสั่งให้ลูกจ้าทำงานล่วงเวลานั่นเอง เมื่อนาย จ. ไม่ยินยอมทำงานล่วงเวลาจะถือว่านาย จ. ฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์อันเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนย่อมไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเลิกจ้างนาย จ. ด้วยเหตุดังกล่าว โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8684/2548)เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com