การเลิกจ้างที่ทำเป็นหนังสือนั้น บางครั้งก็อาจเป็นที่โต้แย้งกันได้ว่า เหตุที่เลิกจ้างนั้นไม่ได้ระบุไว้ให้ชัดเจน จะยกขึ้นอ้างในภายหลังได้มากน้อยเพียงใด โดยฝ่ายนายจ้างมักจะอ้างว่ายังมีเหตุอื่นอีกที่ไม่ได้ระบุไว้ แต่ฝ่ายลูกจ้างจะอ้างว่าเมื่อไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างแสดงว่านายจ้างไม่ได้ติดใจที่จะอ้างเหตุนั้นแล้ว ทั้งนี้ การอ้างเหตุเลิกจ้างเป็นอย่างอื่นหรือเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลังอาจจะมีผลกระทบเกี่ยวกับสิทธิของลูกจ้าง เช่น การบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายในการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม การกระทำอันไม่เป็นธรรม เป็นต้น ก็ขอเชิญติดตามดูเรื่องข้างล่างนี้จะช่วยให้ท่านได้รับคำตอบเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
เรื่องมีอยู่ว่า ลูกจ้างเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจ้างว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ครั้งสุดท้ายทำงานตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 354,200 บาท และได้รับค่าน้ำมันรถเดือนละ 4,000 บาท ค่าทางด่วนเดือนละ 1,760 บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 359,960 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ประสงค์ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตำแหน่งเดิม โดยจ่ายค่าจ้างและสวัสดิการนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะรับกลับ หากไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ ให้จ่ายค่าเสียหาย ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่าย ค่าชดเชย ค่าจ้างค้างจ่าย เงินเพิ่มและดอกเบี้ยจำนวน 46,031,093 บาท และ 2,876,943 บาท ตามลำดับ พร้อมเงินเพิ่มและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีพร้อมดอกเบี้ย จำนวน 616,825.98 บาท 3,289,738.54 บาท และ 280,998.59 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เนื่องจากจำเลยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ผลประกอบกิจการขาดทุนตลอดมา คณะกรรมการของจำเลยจึงลงมติลดเงินเดือนพนักงาน โจทก์ยินยอม โจทก์จึงได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 265,650 บาท ค่าน้ำมันรถและค่าทางด่วนเป็นเงินช่วยเหลือโจทก์ต้องนำใบเสร็จรับเงินมาเบิกจากจำเลยไม่ใช่ค่าจ้าง ซึ่งต่อมาจำเลยได้ประกาศยกเลิกเงินช่วยเหลือดังกล่าว จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจาก โจทก์กระทำความผิดอย่างร้ายแรง จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ทุจริตต่อหน้าที่ ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย และละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งของคณะกรรมการของจำเลยเป็นอาจิณ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 177,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2544 (วันฟ้อง) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และจ่ายค่าชดเชยจำนวน 2,833,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2544 (วันเลิกจ้าง)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2537 ครั้งสุดท้ายทำงานตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 354,200 กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2544 คณะกรรมการของจำเลยมีมติเลิกจ้างโจทก์ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติการจ่ายเงินเดือนของพนักงาน ย่อมมีหน้าที่ในการตรวจสอบหลักฐานเกี่ยวกับเงินเดือนให้ถูกต้อง หากโจทก์ตรวจสอบหลักฐานโดยตลอด นาย ว. พนักงานฝ่ายบัญชี คงไม่สามารถกระทำความผิดยักยอกเงินของจำเลยไปได้ตั้งแต่ปี 2539 ถึงปี 2543 จำนวนประมาณ 50 ครั้ง เป็นเงินประมาณ 10,000,000 บาท การที่นาย ว. ยักยอกเงินของจำเลยไปได้จึงถือเป็นความบกพร่องของโจทก์ อันถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 853 และยังถือได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(3) แต่จำเลยไม่ได้ระบุเหตุดังกล่าวไว้ในหนังสือเลิกจ้าง จำเลยจึงไม่อาจยกเป็นข้อต่อสู้ที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 จำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยโดยอ้างว่าโจทก์กระทำความผิด จึงไม่ใช่กรณีจงใจไม่จ่ายค่าชดเชยโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่ม คงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 มาตรา 118 จำเลยยังค้างจ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2544 จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างเนื่องจากกรรมการชุดใหม่ของจำเลยเป็นชาวต่างประเทศซึ่งกฎหมายระบุว่า หากลูกจ้างกระทำความผิดร้ายแรง นายจ้างมีสิทธิไม่จ่ายค่าจ้างได้ การที่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์จึงไม่ใช่จงใจไม่จ่ายค่าจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดเพียงอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2544 เป็นต้นไป ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 มาตร 70 โจทก์กระทำความผิดร้ายแรงและประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี วันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสม และไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
ข้ออุทธรณ์ของโจทก์ที่น่าสนใจคือ หนังสือเลิกจ้างมิได้ระบุเหตุผลว่า โจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จำเลยจึงยกเหตุดังกล่าวขึ้นต่อสู้เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี วันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสม สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมไม่ได้
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 67 บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างมิได้มีความผิดตามมาตรา 119 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้างตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ลูกจ้างมีสิทธิและรวมทั้งวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมตามมาตรา 30” และมาตรา 17 วรรคสามบัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้” คดีนี้แม้ศาลแรงงานกลางจะฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(3) แต่เมื่อจำเลยมิได้ระบุเหตุผลดังกล่าวไว้ในหนังสือเลิกสัญญาจ้าง จำเลยจึงยกเหตุตามมาตรา 119 ดังกล่าวขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามมาตรา 67 ไม่ได้ และยังต้องถือว่าจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์มิได้มีความผิดตามมาตรา 119 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมตามมาตรา 67 ให้แก่โจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องว่า ระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้พนักงานหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีละ 14 วัน หากปีใดใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่ครบ 14 วัน ก็สามารถนำวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่เหลือมาสมทบกับปีถัดไปได้ และโจทก์มีวันหยุดพักผ่อนประจำปีเหลืออยู่อีก 20.5 วัน จำเลยมิได้ให้การโต้แย้ง จึงต้องฟังว่าโจทก์มีวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมรวม 20.5 วัน จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมจำนวน 242,036.66 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2544 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยจะต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 และมาตรา 583 และจำเลยจะต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จึงนำบทบัญญัติของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสาม ที่ห้ามนายจ้างยกเหตุผลซึ่งมิได้ระบุไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างขึ้นอ้างในภายหลังมาใช้เพื่อตัดสิทธิของนายจ้างมิให้ยกขึ้นต่อสู้ในส่วนของสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมด้วยไม่ได้ เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กระทำความผิดอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 และโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(3) จำเลยจึงไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ และการเลิกจ้างนี้ก็ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่จำต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8570/2548)
น่าสังเกตว่า แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่า เมื่อนายจ้างมิได้ระบุเหตุผลว่าลูกจ้างประมาทเลินเล่อไว้ในหนังสือเลิกสัญญาจ้าง จึงยกเหตุดังกล่าวขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามมาตรา 67 ไม่ได้ แต่ศาาลฎีกาก้ยอมรับเหตุดังกล่าวมาวินิจฉัยว่าลูกจ้างกระทำความผิดอย่างร้ายแรง การเลิกจ้างไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เพราะเหตุว่าวินิจฉัยตามกฎหมายคนละฉบับกัน
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น