เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียด จึงขอนำเสนอด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในยุคที่ข้าวของแพงเกินหน้าเกินตามากกว่ารายได้ ทำให้พนักงานเก็บค่าโดยสารบนรถโดยสารประจำทางต้องคิดหาทางเพิ่มรายได้ให้แก่ตนเอง โดยวิธีที่ไม่ถูกต้องจากหน้าที่การงานโดยนำตั๋วเก่ามาขายใหม่ ทั้งนี้ ไม่ได้เพื่อเป็นการซ้ำเติมอะไรกัน แต่อยากให้เป็นกรณีศึกษาหรืออุทาหรณ์แก่ทุกคนโดยไม่จำกัดเฉพาะในเรื่องนี้เท่านั้น
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยเป็นเวลาประมาณ 20 ปี ในตำแหน่งพนักงานเก็บค่าโดยสารประจำฝ่ายการเดินรถสาย 58 เขตการเดินรถที่ 2 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 13,440 บาท เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2542 จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ โดยเก็บตั๋วที่ขายแล้วนำมาขายใหม่ โจทก์ไม่ได้กระทำผิดดังกล่าว จำเลยได้สั่งพักงานโจทก์ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2542 โดยไม่มีกำหนดเวลาและมิได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและแจ้งข้อความผิด ต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2542 จำเลยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์และเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ชอบด้วยข้อบังคับและกฎหมาย ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยรับโจทก์เข้าทำงานตามเดิมกับให้จำเลยคืนสิทธิประโยชน์หรือสภาพการจ้างที่ได้รับอยู่แต่เดิมและโจทก์สมควรจะได้รับใหม่ตลอดระยะเวลาที่จำเลยเลิกจ้างถึงวันที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยและกฎหมาย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายจัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. 2519 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2542 ในขณะที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารบนรถยนต์โดยสารประจำทางสาย 58 คันหมายเลขรถ 2 – 40145 วิ่งรับส่งผู้โดยสารจากท่ามีนบุรีมุ่งหน้าไปท่าบางกะปิซึ่งเป็นรถวิ่งเสริม ในระหว่างเส้นทางถึงบริเวณหมู่บ้าน ท. นาย ส. นายตรวจได้ตรวจตั๋วผู้โดยสารพบว่า โจทก์ได้นำตั๋วที่ขายแล้วในเที่ยวอื่นมาขายใหม่เป็นตั๋วเลขที่ 5915129 ราคา 3.50 บาท ซึ่งผู้โดยสารยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ขายตั๋วดังกล่าว พร้อมลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังตั๋ว และให้ชื่อที่อยู่หมายเลขโทรศัพท์ให้แก่นาย ส. การกระทำของโจทก์ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 46 ว่าด้วย วินัย การสอบสวน การลงโทษและการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงาน พ.ศ. 2524 จำเลยจึงสั่งพักงานโจทก์และตั้งคณะกรรมการสอบสวนการกระทำความผิดของโจทก์ตามระเบียบข้อบังคับโดยชอบแล้ว ผลการสอบสวนของคณะกรรมการเห็นว่า โจทก์กระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงเห็นควรลงโทษไล่ออก โจทก์อุทธรณ์คำสั่งลงโทษต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีความเห็นยืนตามคำสั่งลงโทษ การพิจารณาความผิดของโจทก์ได้กระทำโดยชอบตามระเบียบข้อบังคับแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิมและคืนสิทธิผลประโยชน์หรือสภาพการจ้างที่ได้รับอยู่แต่เดิมให้โจทก์
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาวินิจฉัยว่า มีปัญหาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะอุทธรณ์ข้อ 2 ส่วนหลัง ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า กระบวนการสอบสวนกล่าวหาโจทก์กระทำความผิด มิได้ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะนำมาลงโทษโจทก์ไม่ได้ ฉะนั้น การไล่โจทก์ออกจากงานจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์นั้น
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบว่า โจทก์นำตั๋วที่ขายแล้วในเที่ยวอื่นมาขายใหม่ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ และวินิจฉัยว่า การเลิกจ้างมีเหตุอันสมควรมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ มิได้ถือข้อเท็จจริงตามที่คณะกรรมการสอบสวนสรุปความเห็นมาแต่อย่างใด ดังนั้น ไม่ว่ากระบวนการสอบสวนความผิดของโจทก์จะชอบด้วยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยหรือไม่ ย่อมไม่มีผลเป็นการลบล้างความผิดของโจทก์ ตามที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยมาเป็นที่ยุติแล้วดังกล่าวได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์กระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน จำเลยย่อมมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างโจทก์ จึงมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ส่วนกระบวนการสอบสวนโจทก์จะชอบด้วยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5602/2548)
นี่แหละครับ....การที่หาเศษหาเลยเล็ก ๆ น้อย ๆ บางครั้งก็อาจทำให้อนาคตดับลง จากเดิมที่เคยมีรายได้เดือนละหมื่นกว่าบาท ต้องตกงานเพราะเพียงเรื่องเงินเล็กน้อย(ราคาขณะเกิดเหตุ 3.50 บาท) แล้วครอบครัวจะเป็นอย่างไร จริงอยู่อาจมีช่องทางหาเงินทางอื่นบ้างแต่ก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ โดยที่ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ความยากลำบากย่อมเกิดขึ้น อีกด้านหนึ่งก็น่าเห็นใจบ้างเหมือนกัน ลำพังเงินเดือนหมื่นกว่าบาทอาจไม่พอใช้จ่าย แต่ควรแสวงหาเพิ่มด้วยวิธีอื่นที่ถูกต้องดีกว่า สุดท้ายก่อนจบขอฝากเตือนลูกจ้างทั้งหลายไว้สักนิดว่า การแสวงหารายได้เพิ่มไม่ได้ผิดอะไร แต่ต้องขยันและประหยัดมากขึ้น อย่าก่อหนี้สินเพิ่มโดยเด็ดขาด มิฉะนั้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจะทำให้ลำบากยิ่งกว่า
เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น