รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปล่อยกู้ในที่ทำงาน อาจถูกเลิกจ้างได้

ในปัจจุบันการปล่อยเงินกู้นอกระบบ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วหรือ ? เพราะมีการโฆษณากันดาดดื่นยิ่งกว่าโฆษณาการจัดหางานที่เมื่อก่อนนี้เป็นเรื่องที่ฮือฮาเพราะทำความเดือดร้อนไปทั่ว แต่.โฆษณาเงินกู้นอกระบบกลับมีให้เห็นกันโจ่งครึมยิ่งกว่า ทั้งหนังสือพิมพ์ ตามเสาไฟฟ้า ตามป้ายรถเมล์ ตามสะพานลอยห้างสรรพสินค้า ฯลฯ มีหน่วยงานใดที่สนใจตรวจสอบหรือกล้าออกมาตักเตือนชาวบ้านให้รู้ทันเล่ห์เหลียมหรืออันตรายอันจะเกิดจากการไปใช้บริการกู้เงินนอกระบบกันหรือไม่ ? และจากคดีข้างล่างนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มันรุกลามไปถึงในสถานที่ทำงานต่าง ๆ แล้ว และแนวคำพิพากษาศาลฎีกานี้ได้วินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมาว่า การปล่อยกู้โดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราในที่ทำงาน ทำให้กิจการของนายจ้างได้รับความเสียหาย

คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจาก ลูกจ้างถูกเลิกจ้างจึงได้ยื่นฟ้องนายจ้างเป็นจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและโจทก์ไม่มีความผิด โจทก์ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 2,800 บาท และค่าชดเชยจำนวน 84,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง กับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 10,500 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 105,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลย(นายจ้าง)ให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยประกอบกิจการโครงสร้างเหล็ก มีลูกจ้างประมาณ 500 คน ต่อมาเนื่องจากจำเลยพิจารณาเห็นว่า มีการกู้ยืมเงินนอกระบบเกิดขึ้นในบริษัทจำเลย สร้างความเดือดร้อนในภาระหนี้สินให้แก่ลูกจ้างที่กู้ยืมเงิน จำเลยจึงออกประกาศเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 ห้ามไม่ให้มีการกู้ยืมเงินนอกระบบในบริษัทจำเลย โดยกำหนดให้ลูกจ้างที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบเลิกกระทำการดังกล่าวภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2546 หากฝ่าฝืนจะถือว่าเป็นการจงใจทำให้บริษัทจำเลยได้รับความเสียหาย ต่อมาวันที่ 8 มิถุนายน 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ปล่อยเงินกู้นอกระบบดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยในกรณีร้ายแรง และเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลแรงงานกลางยกฟ้อง

วันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย 2,800 บาท ให้โจทก์ โจทก์แถลงขอถอนฟ้องในส่วนดังกล่าว ศาลแรงงานกลางอนุญาตแล้ว

โจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย มีวันเข้าทำงาน ตำแหน่ง ค่าจ้าง และกำหนดจ่ายค่าจ้างตามคำฟ้อง จำเลยประกอบกิจการโครงสร้างเหล็ก มีลูกจ้างประมาณ 500 คน เนื่องจากมีการกู้ยืมเงินนอกระบบเกิดขึ้นในบริษัทจำเลย สร้างความเดือดร้อนในภาระหนี้สินให้แก่ลูกจ้างที่กู้ยืมเงินดังกล่าว วันที่ 30 ตุลาคม 2546 จำเลยจึงออกประกาศห้ามไม่ให้มีการกู้ยืมเงินนอกระบบในบริษัทจำเลยโดยกำหนดให้ลูกจ้างที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบเลิกกระทำการดังกล่าวภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2546 หากฝ่าฝืนจะถือว่าเป็นการจงใจทำให้บริษัทจำเลยได้รับความเสียหาย และจำเลยได้จัดสวัสดิการให้ลูกจ้างกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4 ต่อปี โจทก์เป็นผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบโดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน หรือร้อยละ 120 ต่อปี ก่อนจำเลยออกประกาศ โจทก์ปล่อยเงินกู้นอกระบบให้แก่ลูกจ้างของจำเลยอยู่ประมาณ 60 ถึง 70 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 500,000 บาท ซึ่งโจทก์เป็นผู้มอบให้แก่นางสาว น. เลขานุการประธานคณะกรรมการบริษัทจำเลย ต่อมาในวันที่ 8 มิถุนายน 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ปล่อยเงินกู้นอกระบบดังกล่าว และจำเลยได้ให้ลูกจ้างที่กู้เงินนอกระบบทำบันทึกชี้แจงปรากฏว่า มีลูกจ้างที่กู้เงินนอกระบบจากโจทก์ และมีลูกจ้างที่กู้เงินนอกระบบทั้งจากโจทก์และบุคคลอื่น แสดงว่าหลังจากจำเลยมีคำสั่งห้ามแล้ว โจทก์ยังคงปล่อยเงินกู้นอกระบบอยู่ โจทก์แถลงว่าหลังจากจำเลยมีประกาศห้ามแล้ว โจทก์ได้โอนหนี้ของโจทก์ให้บุคคลอื่นเป็นเจ้าหนี้คงเหลือลูกหนี้อยู่ที่โจทก์ไม่กี่ราย รวมเป็นเงินไม่เกิน 50,000 บาท ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย

ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า หลังจากที่จำเลยมีคำสั่งห้ามปล่อยเงินกู้นอกระบบแล้ว การที่โจทก์ยังปล่อยเงินกู้นอกระบบให้ลูกจ้างของจำเลยกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน ไม่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยในกรณีร้ายแรง และไม่เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เพราะแม้ลูกจ้างผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูงไปบ้าง แต่ก็ไม่สูงเกินไป ไม่มีผลกระทบต่อกิจการของจำเลยให้ต้องเสียหายอย่างชัดแจ้ง และโจทก์ได้ให้ความร่วมมือโดยมอบรายชื่อลูกจ้างที่กู้ยืมเงินให้จำเลยผ่านทางเลขานุการประธานคณะกรรมการบริษัทจำเลยแล้ว

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่าหลังจากจำเลยมีคำสั่งห้ามไม่ให้ปล่อยเงินกู้นอกระบบในบริษัทจำเลยแล้ว โจทก์ยังฝ่าฝืนปล่อยเงินกู้นอกระบบให้ลูกจ้างของจำเลยกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 10 ต่อเดือน อันเป็นการกระทำความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ซึ่งแม้จะมิใช่เป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง แต่ก็เป็นการกระทำความผิดอาญาในระหว่างการทำงาน ทั้งยังเป็นการเอาเปรียบและสร้างความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นผู้ใช้แรงงาน ส่งผลกระทบต่อกำลังใจในการทำงาน ย่อมทำให้กิจการของจำเลยได้รับความเสียหาย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยในกรณีร้ายแรง และเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แม้โจทก์จะส่งรายชื่อผู้กู้ให้จำเลยก็ไม่ทำให้การกระทำของโจทก์ไม่เป็นความผิด อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5978/ 2549)

ผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับแนววินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานดังกล่าว เพราะการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมากเกินสมควร ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ลูกจ้างที่กู้ยืมเงินไปใช้ ทั้งนี้เนื่องจากการกู้ยืมเงินไปของลูกจ้างส่วนใหญ่ไม่ใช่การนำเงินดังกล่าวไปลงทุนให้เกิดดอกผลงอกเงยขึ้นแต่อย่างใด แต่เป็นการนำเงินไปจับจ่ายใช้สอยเพื่อประทังชีวิตให้รอดอยู่มากกว่า ฉะนั้นหากดอกเบี้ยเติบโตเร็วมากเกินไป เพียงปีเดียวกลายเป็นหนี้ 2 เท่าตัว ก็เห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ อีก เมื่อลูกจ้างได้รับความเดือดร้อน ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของลูกจ้างตามมา อันทำให้ผลงานหรือผลผลิตที่นายจ้างควรจะได้รับต้องลดน้อยลง และนายจ้างย่อมได้รับความเสียหายแน่นอน

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น