รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นายจ้างจ่ายค่าจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

นายจ้างหลายรายอาจจะยังจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกจ้างที่เพิ่งเข้าทำงานใหม่ ๆ มักจะได้รับค่าจ้างในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ โดยนายจ้างมักอ้างว่าเพื่อทดลองงานดูก่อน หากฝีมือดีก็จะขึ้นค่าจ้างให้ หากฝีมือไม่ดีก็จะไม่จ้างต่อ ซึ่งลูกจ้างที่เพิ่งได้งานทำใหม่ก็จะอยู่ในสภาวะที่ต้องยินยอมโดยปริยาย มิฉะนั้นก็จะไม่มีงานทำ อย่างไรก็ดีการที่นายจ้างจ่ายค่าจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีปัญหาที่สอบถามกันมาบ่อย ๆ ว่าแล้วลูกจ้างจะเรียกร้องเอาเงินค่าจ้างที่นายจ้างยังจ่ายไม่ครบตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำได้หรือไม่ เพียงใด อยากรู้คำตอบ ลองอ่านคดีข้างล่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 1,500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 16 และวันที่ 1 ของทุกเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2546 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจา อ้างเหตุว่าโจทก์มีความผิด ได้รับใบเตือน 3 ครั้งแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่าย เงินประกันการทำงาน และในระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ 2544 ถึง 23 กรกฎาคม 2546 จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้รวมเป็นเงิน 112,753 บาท ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชย และค่าจ้างที่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ขาดอยู่ กับเงินประกันการทำงาน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของยอดเงินทั้งหมด นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ระหว่างโจทก์ทำงานกับจำเลย โจทก์กระทำความผิดหลายครั้ง จำเลยได้ว่ากล่าวตักเตือนแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 โจทก์กระทำผิดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2546 โดยไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาในการทอนเงินให้แก่ลูกค้า จำเลยว่ากล่าวตักเตือน และให้โจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบในหนังสือตักเตือน แต่โจทก์ไม่ยินยอมลงลายมือชื่อและไม่มาทำงาน โดยละทิ้งงานไปเกิน 3 วันติดต่อกัน จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ก่อนเริ่มพิจารณา โจทก์ยอมรับว่าจำเลยได้ทำหนังสือตักเตือนโจทก์ 3 ครั้ง โดยโจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบในเอกสารทั้งสามฉบับดังกล่าวด้วย ในการจ้างโจทก์นั้นจำเลยจัดหาอาหารให้แก่โจทก์รับประทานวันละ 1 มื้อ

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินประกันการทำงาน 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2546 เป็นต้นไป จ่ายเงินค่าจ้างขั้นต่ำที่ยังขาดอยู่ 32,817 บาท และค่าจ้างที่ค้างชำระ 910 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วนแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์นอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีข้อวินิจฉัยที่น่าสนใจคือ

1. มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ค่าที่พักและค่าอาหารเป็นค่าจ้างหรือไม่ ? ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางและตามสำนวนโดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งว่า ลูกจ้างส่วนใหญ่ไม่มีที่พักอาศัยเป็นของตนเอง เพื่อเป็นการบรรเทาช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายของลูกจ้าง จำเลยได้เช่าบ้านบริเวณใกล้ที่ทำการให้ลูกจ้างใช้เป็นที่พักอาศัย รวมทั้งจัดที่พักอาศัยให้แก่โจทก์ด้วย ที่พักอาศัยดังกล่าวหากไปเช่าจะเสียค่าเช่าเดือนละ 1,500 บาท และหลังเวลาเลิกงานจำเลยจัดอาหารให้โจทก์กับลูกจ้างอื่นรับประทานวันละมื้อคิดเป็นราคามื้อละ 30 บาท

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ที่พักอาศัยและอาหารที่จำเลยจัดให้แก่โจทก์ได้พักอาศัยและรับประทานนั้นเป็นการจัดให้ในลักษณะเพื่อเป็นการช่วยเหลือโจทก์และลูกจ้างอื่น เนื่องจากโจทก์ได้รับค่าจ้างจากจำเลยเดือนละ 1,500 บาท ค่าที่พักอาศัยและค่าอาหารจึงไม่ใช่ค่าตอบแทนในการทำงานตามปกติ แต่เป็นสวัสดิการที่จำเลยให้แก่โจทก์ ไม่ใช่จ่ายเป็นเงินค่าจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเป็นค่าจ้างจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น

2. มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนดเป็นรายวัน เมื่อโจทก์ทำงานเพียงวันละ 5 ชั่วโมง จะต้องนำมาคิดค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยเป็นรายชั่วโมงนั้น

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า ตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 6) ลงวันที่ 19 กันยายน 2540 และ(ฉบับที่ 7) ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2547 รวมทั้งประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2545 ซึ่งใช้อยู่ในขณะที่โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยในเวลาดังกล่าวได้กำหนดไว้ว่า “วัน” หมายถึง เวลาทำงานปกติของลูกจ้าง ซึ่งไม่เกินชั่วโมงทำงานดังต่อไปนี้ ... แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานน้อยกว่าเวลาทำงานปกติเพียงใดก็ตาม ปรากฏว่างานของจำเลยที่ให้โจทก์ทำก็คือเริ่มตั้งแต่เวลา 20.00 น. ถึงเวลา 01.00 น. ของวันรุ่งขึ้น รวมเวลาแล้วโจทก์ทำงานวันละ 5 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นเวลาทำงานตามปกติของโจทก์อันถือได้ว่า เป็นการทำงานใน 1 วัน โจทก์จึงต้องได้ค่าจ้างไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใน 1 วัน ตาที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนด ไม่ใช่คำนวณว่าวันหนึ่งต้องทำงาน 8 ชั่วโมง โจทก์ทำงานเพียงวันละ 5 ชั่วโมง จึงเฉลี่ยค่าจ้างขั้นต่ำให้โจทก์ตามที่คำนวณได้ใน 1 วัน ต่อการทำงานเพียง 5 ชั่วโมง เพราะการคำนวณดังที่จำเลยอุทธรณ์นั้น จะทำให้ลูกจ้างได้ค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนดให้ใน 1 วัน ที่ศาลแรงงานกลางกำหนดมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

3. ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยว่า จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างส่วนที่ขาดตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ ? ข้อเท็จจริงปรากฏตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่า ขณะโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2544 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2544 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดไว้วันละ 162 บาท จำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท คิดเป็นวันวันละ 50 บาท จำเลยจึงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 112 บาท รวม 318 วัน เป็นเงิน 35,616 บาท

- ตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2545 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดไว้วันละ 165 บาทจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 115 บาท รวม 365 วัน เป็นเงิน 41,975 บาท และ

- ตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2546 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดไว้วันละ 169 บาทจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 119 บาท รวม 204 วัน เป็นเงิน 24,276 บาท

รวมเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 101,867 บาท เงินนี้เป็นเงินค่าจ้างรวมทั้งเงินค่าจ้างที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์อยู่อีก 910 บาท ศาลแรงงานกลางกำหนดดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ร้อยละ 7.5 ต่อปี นั้น ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 ซึ่งกำหนดให้ร้อยละ 15 ต่อปี ในระหว่างเวลาผิดนัย แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8681/2548)

คุณคิดเหมือนผมหรือไม่ว่า นายจ้างรายนี้โชคดีที่ลูกจ้างไม่ได้เรียกให้นายจ้างจ่ายเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุกระยะเวลา 7 วัน มิฉะนั้นอาจเป็นรายแรกที่ถูกศาลพิพากษาให้จ่ายเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุกระยะเวลา 7 วัน ถ้าศาลฎีกาเห็นว่านายจ้างจงใจผิดนัด เพราะที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ศาลจึงเห็นว่านายจ้างไม่ได้จงใจหรือไม่จ่ายโดยมีเหตุอันสมควร น่าเสียดายนะครับ

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น