รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

รับปรึกษาปัญหาคดีแรงงาน

มีปัญหา ข้อสงสัย เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าชดเชย การเลิกจ้าง และอื่น ๆ

ส่งไปที่ takerngch@gmail.com

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องของ “โบนัส”

ใกล้สิ้นปีอีกแล้ว สิ่งที่ลูกจ้างเฝ้ารอคอยมาทั้งปีก็คือ “โบนัส” แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ภาคราชการเองก็เช่นเดียวกัน มีการจ่ายเงินรางวัลพิเศษหรือโบนัสกันบ้างแล้ว เพียงแต่ยอดเงินที่ได้รับไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนภาคเอกชน ที่ได้รับกันเป็นเดือน ๆ การจ่ายเงินโบนัสโดยปกติจะเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบกิจการของนายจ้างและความประพฤติของลูกจ้างประกอบด้วย บางปีอาจจะได้มาก บางปีอาจจะได้น้อย แต่บางครั้งมีปัญหาที่ลูกจ้างมักจะสงสัยว่า ถ้านายจ้างไม่จ่ายโบนัส ลูกจ้างจะร้องต่อเจ้าหน้าที่หรือฟ้องศาลได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบนั้นต้องขึ้นกับข้อเท็จจริงในแต่กรณี กล่าวคือต้องพิจารณาว่า นายจ้างมีข้อตกลงหรือข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องเงินโบนัสไว้อย่างไร ขอให้ดูตัวอย่างข้างล่างนี้

คดีเรื่องหนึ่งโจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนเมษายน 2541 จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบ9กลงจ่ายค่าจ้างขั้นแรกเดือนละ 100,000 บาทจ่ายเงินโบนัสให้ปีละ 2 เท่าของเงินเดือน และจะขึ้นเงินเดือนให้ปีละครั้งประมาณร้อยละ 10 - 12 ของเงินเดือนรวมทั้งให้ค่าน้ำมันรถตามที่จ่ายจริงโดยเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2541 และได้ปรับเงินเดือนขึ้นให้เป็นกรณีพิเศษอีก 30,000 บาท ต่อมาในปี 2542 จำเลยขึ้นเงินเดือนให้โจทก์ 10,400 บาท รวมเป็นอัตราค่าจ้างเดือนละ 140,400 บาท และจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์ 2 เท่าตามที่ตกลงกัน แต่ในปี 2543 จำเลยไม่ยอมจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์และเลิกจ้างโจทก์อันเป็นการผิดสัญญาจ้าง ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์ 2 เท่าของเงินเดือนปี 2543 เดือนละ 140,400 บาท คิดเป็นเงินโบนัส 280,800 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละสิบห้าทุกเจ็ดวัน นับจากวันที่จำเลยผิดนัดจ่ายเงินโบนัสคือวันที่ 22 มกราคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 185,413.02 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 436,213.02 บาท และค่าขาดประโยชน์ที่หางานทำใหม่ไม่ได้ กับเงินโบนัสจำนวน 2 เท่าของเงินเดือนไปจนกว่าจะเกษียณอายุเป็นเงิน 11,793,600 บาท จำเลยให้การว่าไม่เคยมีข้อตกลงเรื่องการจ่ายเงินโบนัสและขึ้นเงินเดือนให้โจทก์ตามฟ้อง การจ่ายเงินโบนัสและการขึ้นเงินเดือนต้องเป็นไปตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและผลการปฏิบัติงานของโจทก์ โจทก์สมัครใจยื่นใบลาออกเอง มิใช่เพราะจำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินโบนัสพร้อมเงินเพิ่มและค่าเสียหายตามฟ้องของโจทก์ ขอให้ศาลแรงงานกลางยกฟ้องเสีย

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยตกลงจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ปีละ 2 เท่าของเงินเดือน จำเลยจึงต้องจ่ายเงินโบนัสเป็นเงิน 280,800 บาท แก่โจทก์ เงินโบนัสไม่ใช่เงินที่นายจ้างจะต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีและไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วันโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่มตามฟ้อง แต่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างที่จำเลยผิดนัดจ่ายเงินโบนัสในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสจำนวน 280,800 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 22 มกราคม 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ของเงินโบนัสที่จำเลยต้องจ่ายทุกระยะเวลา 7 วันนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องความว่าจำเลยไม่จ่ายเงินโบนัสตามข้อตกลงให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินโบนัสจำนวน 280,800 บาทพร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 15 ของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันที่ 22 มกราคม 2544 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่เคยตกลงจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ตามฟ้อง การจ่ายเงินโบนัสและการขึ้นเงินเดือนให้แก่ลูกจ้างของจำเลยต้องเป็นไปตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินโบนัสตามฟ้อง เนื่องจากจำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่มีความเหมาะสม เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในเงินเพิ่มตามที่โจทก์ฟ้องด้วย คดีจึงมีประเด็นโดยตรงว่า จำเลยจะต้องจ่ายเงินโบนัสและเงินเพิ่มตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ แม้คดีนี้ศาลแรงงานกลางจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องเงินโบนัสไว้ในข้อ 1 เพียงว่า จำเลยตกลงจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ปีละ 2 เท่าของเงินเดือนหรือไม่ ก็ตาม แต่การวินิจฉัยตามประเด็นดังกล่าวก็จะต้องวินิจฉัยในเรื่องเงินเพิ่มตามฟ้องของโจทก์ด้วย อีกทั้งในการท้าพิสูจน์ลายมือชื่อผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยนั้น ศาลแรงงานกลางก็ยังได้บันทีกรายงานกระบวนพิจารณาไว้โดยชัดแจ้งว่า สำหรับประเด็นที่ว่าจำเลยได้ตกลงจะจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์หรือไม่ ให้เป็นไปตามคำท้าการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย ส่วนเรื่องเงินเพิ่มตามฟ้องนั้นทั้งสองฝ่ายให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยตามกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ท้ากัน และโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องจากจำเลยในคำขออื่น ๆ ฉะนั้นการที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ของเงินโบนัสที่จำเลยค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วัน จึงเป็นการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปคือ จำเลยจะต้องชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ของเงินโบนัสที่จำเลยค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วันแก่โจทก์หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า เงินโบนัสที่จำเลยตกลงจ่ายให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงสามารถคำนวณเป็นจำนวนที่แน่นอนและจำเลยมีความผูกพันที่จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์เป็นประจำทุกปี่ เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน ถือได้ว่าโบนัสดังกล่าวเป็นค่าจ้าง จึงอยู่ในบังคับที่จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และต้องเสียเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินโบนัสที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วัน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า แม้จำเลยจะตกลงจ่ายโบนัสให้แก่โจทก์ไว้มีลักษณะที่แน่นอนปีละ 2 เท่าของเงินเดือนซึ่งแตกต่างจากข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยข้อ 9 ในเรื่องสวัสดิการโบนัสที่ระบุไว้ว่า จำเลยมิได้ผูกพันที่จะจ่ายโบนัสแก่พนักงาน จำเลยจะจ่ายโบนัสหรือไม่แล้วแต่จำเลยจะเห็นสมควรก็ตาม แต่การจ่ายเงินโบนัสโดยปกติทั่วไปนั้น มีลักษณะเป็นการจ่ายเงินรางวัลประจำปีโดยมีความมุ่งหมายเป็นรางวัลความดีความชอบที่ลูกจ้างทำงานมาด้วยดีและมีความประพฤติเหมาะสมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง อีกทั้งเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ลูกจ้างร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ อุทิศกำลังกายและกำลังใจให้แก่กิจการของนายจ้าง นอกจากนี้ข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าการที่จำเลยตกลงจ่ายโบนัสแก่โจทก์ตามข้อตกลงนั้น มีเจตนาจะหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าจ้างโดยนำค่าจ้างมาจ่ายเป็นเงินโบนัสแต่อย่างใด การที่จำเลยจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นการจัดสวัสดิการให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงเท่านั้น มิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน อันจะเป็นค่าจ้างตามที่โจทก์อุทธรณ์ เงินโบนัสมิใช่เงินประเภทที่กำหนดไว้ในมาตรา 9 ของกฎหมายที่กล่าวมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และจำเลยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินโบนัสที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วัน

ปัญหาประการสุดท้ายคือ จำเลยจะต้องจ่ายค่าทนายความในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 27 บัญญัติว่า การยื่นคำฟ้อง ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในศาลแรงงานให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียม และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าไม่ได้ระบุค่าฤชาธรรมเนียมชนิดใดไว้โดยเฉพาะ ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นให้รวมถึงค่าทนายความด้วย ฉะนั้น การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลแรงงานกลางและการอุทธรณ์คดีนี้ของโจทก์ แม้โจทก์จะต้องว่าจ้างและเสียค่าทนายความ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชำระค่าทนายความแทนโจทก์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5912/2546)

ความจริงคดีนี้ไม่น่าจะมีปัญหาหากทั้งสองฝ่ายเจรจากันได้ และปฏิบัติไปตามข้อตกลง เรื่องก็จะสามารถยุติลงได้ ....ไม่น่าเสียเวลาพิพาทกันเลย...จริง ๆ นะครับ

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การฟ้องคดีต้องระวังให้ดี

ชื่อเรื่องข้างต้นไม่ได้หมายถึงให้โจทก์ต้องระวังตัวนะครับ แต่เป็นเรื่องที่ให้โจทก์มีความระมัดระวังในการเขียนคำฟ้องต่างหาก เพราะหากเขียนคำฟ้องไม่ครบถ้วนหรือขาดตกบกพร่อง อาจทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์หรือความต้องการได้ ซึ่งปกติมีหลักง่าย ๆ คือ เขียนให้ชัดเจนว่าฟ้องเรื่องอะไร ใครทำผิดอะไร เมื่อไร ที่ไหน จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ทำอะไร อย่างไร เป็นต้น

คดีเรื่องหนึ่ง โจทก์ยื่นฟ้องนายจ้างเป็นจำเลยว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2524 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายพนักงานธุรการ ค่าจ้างเดือนละ 26,940 บาท ต่อมาวันที่ 31 ธันวาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าอ้างว่าไม่มีตำแหน่งงานให้โจทก์ทำ ความจริงจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่ได้ปรับปรุงหน่วยงานกระบวนการผลิตหรือจำหน่ายหรือบริการ โดยการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลูกจ้าง ซึ่งจำเลยจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน และต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษให้โจทก์ตามที่กฎหมายกำหนด แต่จำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษให้โจทก์เพียง 5 เดือน ยังขาดอยู่ 148,170 บาท และไม่จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ ระหว่างทำงานจำเลยจ่ายค่าชุดทำงานให้โจทก์และลูกจ้างอื่นทุกปี ปีละ 4 ชุด แต่ในปี 2544 จำเลยไม่จ่ายค่าชุดทำงานให้โจทก์ และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดรายได้ที่ควรได้ระหว่างหางานใหม่ซึ่งจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน ขอให้ศาลแรงงานกลางบังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชุดทำงาน และค่าเสียหายให้แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากจำเลยมีความจำเป็นต้องควบรวมกิจการสาขา ค. ที่โจทก์ทำงานอยู่เข้ากับสาขา ก. เพื่อความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศและสภาพทางธุรกิจของธนาคารเพื่อให้กิจการของจำเลยดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เป็นเหตุให้พนักงานในสาขาทั้งสองมีตำแหน่งหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน และไม่มีตำแหน่งเหมาะสมที่จะบรรจุโจทก์ได้ จำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังที่โจทก์อ้าง จึงไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษ ทั้งจำเลยได้จ่ายเงินให้โจทก์นอกเหนือจากค่าชดเชยตามกฎหมายเป็นเงิน 134,700 บาท โดยให้ถือว่าเป็นเงินใด ๆ ที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายเนื่องจากการเลิกจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าชดเชยพิเศษหรือสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยอีก จำเลยเพิ่งจะมอบชุดทำงานให้แก่พนักงานสาขาต่าง ๆ ในเดือนตุลาคม 2544 แต่ไม่ได้มอบให้โจทก์เนื่องจากโจทก์อยู่ในข่ายที่จำเลยอาจจะต้องให้ออกจากงานเพราะการปิดสาขา ค. จำเลยจึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องมอบชุดทำงานหรือจ่ายค่าชุดทำงานให้แก่โจทก์ ทั้งการเลิกจ้างโจทก์ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายและค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมานั้นสูงเกินความจริง ขอให้ศาลแรงงานกลางยกฟ้องของโจทก์

ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมโจทก์ทำงานอยู่ที่ธนาคารจำเลยสาขา พ. ตำแหน่งพนักงานธุรการ มีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารในการทำสัญญากู้ยืมเงินของลูกค้าเฉพาะที่เกี่ยวกับสินเชื่อบุคคลธรรมดา ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2544 จำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์ให้ไปทำงานที่สาขา ค. ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2544 เป็นต้นไป แต่วันที่ 29 มิถุนายน 2544 จำเลยได้มีคำสั่งให้โจทก์คงปฏิบัติงานอยู่ที่สาขา พ. ต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ครั้นวันที่ 27 กันยายน 2544 ขณะโจทก์ยังทำงานอยู่ที่สาขา พ. จำเลยได้มีหนังสือบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 โดยจำเลยจ่ายเงินชดเชย และเงินชดเชยพิเศษ รวมเป็นเงิน 402,100 บาท ให้โจทก์ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการโอนเงินให้ลูกค้าสาขา พ. ในธุรกรรมอื่นมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี เพิ่งจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการโอนเงินให้ลูกค้าสินเชื่อบุคคลธรรมดาด้วยเฉพาะรายที่ไม่ประสงค์จะไปรับเงินที่ธนาคารด้วยตนเอง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้น เท่านั้น ไม่ใช่เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลูกจ้าง โจทก์ไม่ได้ถูกเลิกจ้างเพราะเหตุดังกล่าว จำเลยจึงไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนเลิกจ้างไม่น้อยกว่า 60 วัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยพิเศษตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 121 และมาตรา 122 แม้ธนาคารจำเลยจะเกิดขึ้นจากควบรวมธนาคาร น. และธนาคาร ส. เข้าด้วยกันทำให้จำเลยต้องรับภาระหนี้ของธนาคาร น. ที่มีมาแต่เดิม จำเป็นต้องลดต้นทุนด้วยการควบรวมสาขาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อความอยู่รอดของจำเลย และกลางปี 2544 จำเลยได้ควบรวมสาขา ค. เข้ากับสาขา ก. แต่การที่จำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์จากสาขา พ. ให้ไปทำงานที่สาขา ค. ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2544 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2544 แล้ววันรุ่งขึ้นจำเลยกลับมีคำสั่งให้โจทก์ทำงานอยู่ที่สาขา พ. ต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง และในวันที่ 6 สิงหาคม 2544 สาขา พ. ก็ได้แต่งตั้งให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งใหม่ แสดงว่ายังมีความจำเป็นและมีงานที่ให้โจทก์ทำอยู่ที่สาขา พ. จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่จะมีการควบรวมสาขา ค. เข้ากับสาขา ก. แต่กลับย้ายโจทก์ไปสังกัดสาขา ค. โดยไม่ปรากฏเหตุผล แล้วต่อมาจำเลยก็บอกเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด แสดงว่าจำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์ไปสังกัดสาขา ค. เพียงเพื่อจะหาเหตุเลิกจ้างโจทก์ การที่จำเลยต้องควบรวมสาขา ผู้ที่ควรถูกเลิกจ้างก็น่าจะเป็นพนักงานที่ประจำทำงานอยู่จริงที่สาขาดังกล่าวทั้งสองเท่านั้น การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 150,000 บาทแก่ โจทก์ คำขออื่นให้ยก

มีข้อสังเกต คือศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยว่า การเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งโจทก์ไม่ได้ระบุมาในคำฟ้อง โจทก์เพียงแต่เรียกค่าเสียหายมาเท่านั้น จำเลยจึงอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมและพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานเห็นว่า แม้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 51 มาตรา 52 จะบัญญัติให้ศาลแรงงานพิจารณาพิพากษาคดีไปตามประเด็นแห่งคดี ห้ามไม่ให้พิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง และคดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม แต่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 บัญญัติว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่า การเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้แทน ฯลฯ ดังนี้ เห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจศาลแรงงานที่พิจารณาคดีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างมีอำนาจวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างนั้นเป็นธรรมต่อลูกจ้างหรือไม่ และให้อำนาจศาลแรงงานกลางมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานต่อไปในกรณีที่เห็นว่าการเลิกจ้างนั้นเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม หรือกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้แทนการรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานในกรณีที่เห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ เมื่อคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างมาด้วย ศาลแรงงานกลางจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้นเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5778/2546)

นับได้ว่า โจทก์คดีนี้โชคดีอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะความที่ไม่รู้ในข้อกฎหมาย หรือได้รับคำแนะนำมาไม่ครบถ้วน จึงเกือบพลาดไป แต่ก็ขอให้ถือเป็นตัวอย่างสำหรับรายอื่น ๆ ในการที่จะยื่นฟ้องต่อไปว่า ควรเขียนให้ชัดเจนดีกว่า และไม่เสียเวลาพิพาทกันอีกด้วย

เชิญอ่าน "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแรงงาน"ที่ http://earlyretire.blogspot.com